จูฮัตสึ (Johatsu) ปรากฏการณ์ของผู้คนในญี่ปุ่นที่หายไปจากสังคมอย่างไร้ร่องรอย?

แชร์เรื่องนี้:
จูฮัตสึ (Johatsu) ปรากฏการณ์ของผู้คนในญี่ปุ่นที่หายไปจากสังคมอย่างไร้ร่องรอย?

ญี่ปุ่น ถือเป็นหนึ่งในประเทศที่เป็นผู้นำด้านการค้า เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของโลก ซึ่งนั่นทำให้คนในประเทศต้องมีกฏระเบียบที่เข้มงวด และต้องทำงานอย่างหนักเพื่อประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน แต่ภายใต้ความสำเร็จนี้มีปรากฏการณ์บางอย่างที่เกิดขึ้น โดยในคราวนี้ทางทีมงาน Online Station จะมานำเสนอ จูฮัตสึ (Johatsu) ปรากฏการณ์ของผู้คนในญี่ปุ่นที่หายไปจากสังคมอย่างไร้ร่องรอย?

Johatsu

พื้นหลัง

มีทฤษฎีที่น่าสนใจกล่าวไว้ว่า ด้วยวัฒนธรรมการทำงานที่เข้มงวดของญี่ปุ่น ผสมกับการขาดการสนับสนุนจากครอบครัวและชุมชนนั้น มีส่วนที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ จูฮัตสึ (Johatsu หมายถึง "การระเหย" หรือ "การหายไป") ส่งผลให้มันแพร่กระจายมากยิ่งขึ้นในญี่ปุ่น ทั้งนี้ในวัฒนธรรมญี่ปุ่น การลาออกจากบริษัทถือเป็นเรื่องน่าอับอาย ดังนั้นทางเลือกต่อมาคือ การอัตวินิบาตกรรม, คาโรชิ (Karoshi) "การเสียชีวิตจากการทำงานหนักที่มาจากความเครียดเป็นเวลานาน" ดังนั้นการกลายเป็น Johatsu จึงนับเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจที่จะหลีกเลี่ยงในประเด็นที่กล่าวมามาในข้างต้น

หมายเหตุ: 
ความกดดันทางสังคมลักษณะเดียวกันนี้ยังมีผลต่อปรากฏการณ์ hikikomori (การตัดขาดทางสังคม) และอัตราการอัตวินิบาตกรรมที่ค่อนข้างสูงในประเทศญี่ปุ่นด้วย

Johatsu

ประวัติและการแพร่หลาย

คำว่า Johatsu เริ่มถูกใช้มาตั้งแต่ในช่วงปี 1960 โดยในช่วงนั้นคำนี้ถูกนำมาใช้ในบริบทของคนที่ตัดสินใจหลีกหนีชีวิตคู่ที่ไม่มีความสุขในการใช้ชีวิตมากกว่าทางเลือกในการหย่าร้าง ในช่วงปี 1990 ได้มีผู้คนจำนวนมากที่กลายเป็น Johatsu เมื่อพวกเขาเหล่านี้ต้องตกงานหรือมีหนี้สิน ทั้งนี้การพูดถึงปรากฏการณ์ Johatsu ถือเป็นเรื่องต้องห้ามในบทสนทนาประจำวันของญี่ปุ่น โดยมีการประมาณว่าในแต่ละปีชาวญี่ปุ่นประมาณ 100,000 คนได้หายตัวไป ตัวเลขนี้อาจน้อยกว่าความจริงมาก

ยกตัวอย่างในปี 2015 ทางฝ่ายตำรวจของญี่ปุ่นได่ทำการบันทึกบุคคลสูญหายไปประมาณ 82,000 คน และพบตัวแล้ว 80,000 คน ขณะที่ประเทศอังกฤษในปีเดียวกันมีการรายงานคนหายกว่า 300,000 ครั้ง อีกทั้งญี่ปุ่นยัง ไม่มีฐานข้อมูลคนหาย อย่างเป็นทางการ ทั้งนี้ Missing Persons Search Support Association of Japan องค์กรไม่แสวงหากำไร ได้ประเมินว่าที่จริงแล้วมีผู้หายไปหลายแสนคนต่อปี

Johatsu

แรงจูงใจ

ผู้คนที่กลายเป็น Johatsu นั้นเกิดด้วยเหตุผลหลายประการ เช่น ความซึมเศร้าและปัญหาสุขภาพจิต, หนี้สิน การพนัน หรือการเสพติด, ความรุนแรงในครอบครัว, การถูกตามล่าโดยเจ้าหนี้, ความอับอายจากการตกงาน, การหย่าร้าง, การสอบตก, ความต้องการเริ่มต้นชีวิตใหม่แบบไม่เหลืออดีต

Johatsu

ธุรกิจ "ช่วยหายตัว"

ในบางครั้งการหายตัวไปนั้นทำด้วยตัวคนเดียวไม่ได้ ดังนั้นจึงมีธุรกิจที่เรียกว่า "Yonige-ya" ซึ่งจะเป็นบริษัทที่ช่วยย้ายสิ่งของตอนกลางคืนซึ่งจะช่วยให้ผู้คนนั้นหายไปอย่างไร้ร่องเลย เหมือนไม่เคยได้อาศัยอยู่ในแถวนั้น โดยมีค่าจ้างประมาณ 50,000 – 300,000 เยน (ราว 450 – 2,600 ดอลลาร์สหรัฐ) ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ แต่ในกรณีที่ผู้คนอยากหายไปแบบไม่ต้องพึ่งบริการนี้ก็จะมีคู่มือแนะนำวิธี กลายเป็น johatsu เผยแพร่ในท้องตลาด  

Johatsu

Johatsu หายไปหลบอยู่ที่ไหน?

จากข้อมูลบริษัทนักสืบเอกชนที่ใช้ถูกค้นหาผู้คนที่กลายเป็น Johatsu เผยว่าในบางครั้ง ผู้คนเหล่านี้ใช้ชีวิตอยู่ในร้านปาจิงโกะหรือโรงแรมราคาถูก บางรายก็พบว่าเสียชีวิต รวมถึงมีบางย่านในญี่ปุ่นที่กลายเป็นที่หลบซ่อนตัวของเหล่า Johatsu เช่น ย่านชินจุกุในกรุงโตเกียว, ย่านชุมชนแออัดกะมะงะซากิในเมืองโอซาก้า  

Johatsu

Johatsu ที่ปรากฏในสื่อ

สารคดี Johatsu (2024) รังสรรค์โดย Andreas Hartmann ผู้กำกับชาวเยอรมัน และ Arata Mori บันทึกเรื่องราวของผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงบริการ yonige-ya

สู่บทสรุปสุดท้าย

ปรากฏการณ์ Johatsu ถือเป็นอีกมุมหนึ่งที่สะท้อนถึงความกดดันที่มีความรุนแรงมากในสังคมคนญี่ปุ่น ทำให้ผู้คนจำนวนมากเลือกที่จะ "หายตัวไป" มากกว่าที่จะต้องเผชิญหน้ากับปัญหาต่าง ๆ ที่ถาโถมเข้ามา  สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้างในทางสังคม วัฒนธรรมการทำงาน ค่านิยมบางอย่างที่ฝังรากลึก และชวนให้มีการตั้งคำถามว่า ความสำเร็จในด้านต่าง ๆ จนทำให้กลายเป็นจุดเเข็งของประเทศอาจจะเป็นแรงกดดันให้ใครบางคนเลือกที่จะหายตัวไปอย่างไม่มีวันกลับมาก็เป็นได้

Johatsu

อ้างอิงข้อมูลจาก
https://en.m.wikipedia.org


ติดตามข่าวสารวงการบันเทิง ไลฟ์สไตล์อื่นๆ ได้ที่ Online Station

แชร์เรื่องนี้:
Jack Vai
About the Author

Jack Vai

กองบรรณาธิการ Online Station ที่ชื่นชอบเกมแนว Action RPG

เรื่องที่คุณอาจสนใจ