ยูทูปเบอร์ชาวญี่ปุ่นรับสารภาพทำร้ายภรรยาตนเองหลังพบว่าเธอป่วนวีดีโอเขามาตลอด 6 เดือน

แชร์เรื่องนี้:
ยูทูปเบอร์ชาวญี่ปุ่นรับสารภาพทำร้ายภรรยาตนเองหลังพบว่าเธอป่วนวีดีโอเขามาตลอด 6 เดือน

หลายๆ ครั้งเรามักจะพบว่าคอมเมนต์บนอินเตอร์เน็ตเป็นอีกหนึ่งสาเหตุหลักๆ ในการทำให้เกิดดราม่า และหลายครั้งเองคอมเม้นต์พวกนี้เองก็มักจะทำให้คนอ่านหัวร้อนตามไป แต่ถ้าเกิดคุณเป็นยูทูปเบอร์และคนที่ตามมาก่อกวนในคลิปคุณคือคนที่ใกล้ตัวอย่างภรรยากันล่ะ?

ในวันที่ 21 พฤษภาคมที่ผ่านมา ศาลเขตโออิตะได้มีการสอบสวนชายวัย 44 ปีผู้ต้องข้อหากักขังหน่วงเหนี่ยวและทำร้ายร่างกายภรรยาวัย 36 ปี ในบริเวณย่านอพาร์ทเมนต์ Enokuma หลังจากที่ผู้ต้องหาพบว่าภรรยาของเขาได้มาป่วนคลิปวีดีโอบน Youtube ของเขาเป็นเวลากว่าครึ่งปี

ช่วงเวลาก่อนเกิดเหตุนั้น ผู้ต้องหามีอาชีพเป็นยูทูปเบอร์โดยเขามักจะลงคลิปที่เป็นการแนะนำร้านอาหารหรือสถานที่น่าสนใจของเมือง Oita โดยรายได้ของเขานั้นจะมาจากยอดจำนวนการดูคลิปใน Youtbe ทว่าหลายๆ ครั้งวีดีโอของเขาก็มักจะมีถ้อยคำดูถูกและหยาบคายมาด้วยเช่นกันไม่ว่าจะเป็นคำว่า “งี่เง่า” หรือ “หัวล้าน”

จนกระทั่งในเดือนพฤษภาคมตัวผู้ต้องหาถึงได้รู้ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังคอมเม้นต์เหล่านี้ก็คือภรรยาของเขา โดยไม่เพียงเท่านั้นเธอยังบอกให้คนรู้จักมาช่วยกันเม้นต์คอมเม้นต์ทำนองนี้ในคลิปวีดีโอของเขาอีกด้วย ซึ่งนี่ทำให้ผู้ต้องหาโกรธเป็นอย่างมาก

เขาได้ใช้เทปและอุปกรณ์ใกล้ตัวจับภรรยาของตัวเองมัดแขนและมัดขาไว้ พร้อมกับเตะเข้าที่ใบหน้าของภรรยาอย่างรุนแรงซึ่งอาการบาดเจ็บดังกล่าวใช้ระยะเวลาเป็นเดือนในการรักษา ซึ่งตัวผู้ต้องหาเองก็ยอมรับในข้อกล่าวหา ก่อนจะถูกดำเนินคดีด้วยโทษจำคุก 3 ปี และการพิจารณาคดีจะสิ้นสุดลงในวันที่ 6 มิถุนายนที่จะถึง

ซึ่งก็มีผู้คนบางส่วนได้คอมเม้นต์เกี่ยวกับคดีครั้งนี้ดังนี้

“สิ่งที่ภรรยาทำก็ไม่ดีอ่ะนะ แต่ว่าก็ไม่น่าต้องทำขนาดนี้เลย”

“ดูเหมือนฝั่งภรรยาพยายามจะให้เขาหางานประจำทำมากกว่านะ แต่ว่ามันมีวิธีที่ดีกว่ามาทำอะไรแบบนี้นะ”

“การเรียกใครสักคนว่า “หัวล้าน” ในที่สาธารณะมันก็เป็นการบูลลี่แบบนึงนะ”

“การจะเป็นยูทูปเบอร์ไม่มีข้อห้ามว่าจะต้องห้ามหัวล้านนี่?”

“นี่มันน่าเศร้าสุดๆ ไปเลยไม่ใช่เหรอ?”

จนตอนนี้ก็ยังไม่มีการบอกถึงเหตุผลว่าทำไมตัวภรรยาถึงลงมือทำอะไรแบบนี้ และยังไม่มีใครทราบว่าทั้งสองคนจะตกลงกันยังไงหลังจากนี้ แต่ว่าการคอมเม้นต์เรื่องแย่ๆ ในที่สาธารณะแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องดีเลยนะ!

ที่มาข่าว : soranews24 และ goldennews

แชร์เรื่องนี้:

เรื่องที่คุณอาจสนใจ