จากภาพลักษณ์ที่ได้เห็นกันมาทั้งตามสื่อต่างๆ ร่วมทศวรรษ รวมถึงการประกาศยกเลิกวีซ่าเมื่อหลายปีก่อน ปัจจุบันญี่ปุ่นถือเป็นประเทศหนึ่งในดวงใจของคนไทยที่อยากจะไปเที่ยวกันมานานแล้ว ซึ่งในอีก 2 ปีข้างหน้า กรุงโตเกียว เมืองหลวงของญี่ปุ่นก็จะมีจัดมหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกอย่างโอลิมปิกฤดูร้อน 2020 อีกด้วย ทั้งนี้ ในรอบปี 2017 ที่ผ่านมา ปรากฏว่ามีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเยือนญี่ปุ่นมาถึง 28.69 ล้านคนเลยทีเดียว โดยแบ่งเป็นชาวจีน 7.35 ล้านคน, ชาวเกาหลีใต้ 7.14 ล้านคน ทว่าที่น่าสังเกตก็คือ ในจำนวนนี้เป็นชาวตะวันตกเพียงแค่ราวๆ 3 ล้านคนเท่านั้น
เมื่อพูดถึงประเด็นที่เกิดขึ้น ทางคุณอากิฮิโกะ ทามุระ อธิบดีการท่องเที่ยวญี่ปุ่น ก็ได้ออกมาให้ข้อมูลว่านักท่องเที่ยวจากเยอรมนี, สหราชอาณาจักร, ฝรั่งเศส, แคนาดา และออสเตรเลียมักจะนิยมบินมาชมความงามของภูเขาไฟฟูจิ วัด และซากุระบานในประเทศกัน แต่ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวจากตะวันตกเหล่านี้มักจะมองว่าญี่ปุ่นนั้นแอบมีความน่าเบื่อแฝงอยู่แบบสุดๆ กระทั่งพอมีการทำแบบสำรวจลงลึกถึงเรื่องนี้ ก็พบกับหลายๆ ปัจจัยที่ส่งผลให้ญี่ปุ่นไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวจากตะวันตกมาเยือนกัน ดังเช่น ระยะเวลาในการเดินทางที่นานเอาเรื่อง เนื่องจากญี่ปุ่นเป็นประเทศที่อยู่ตะวันออกเกือบจะสุดของเอเชีย ตลอดจนค่าครองชีพในประเทศที่สูงลิบ ไม่ว่าจะใช้จ่ายอะไรก็ดูจะแพงไปเสียหมด
ยิ่งไปกว่านั้น ปัญหาใหญ่สุดที่ชาวตะวันตกมองประเทศญี่ปุ่นก็คือ ชาวญี่ปุ่นมีกำแพงภาษา (Language Barrier) ที่สูงตระหง่านจนชาวตะวันตกพิชิตไปได้ยากมากครับ เป็นที่รู้กันว่าภาษาอังกฤษคือภาษากลางที่คนส่วนใหญ่บนโลกนี้ใช้สื่อสารร่วมกัน แต่คนญี่ปุ่นที่พูดอังกฤษได้กลับมีน้อยมากๆ จนเกือบจะเป็นแรร์ไอเทมก็ว่าได้ ด้วยเหตุนี้พอเวลาชาวตะวันตกมาญี่ปุ่นแล้วจะถามทาง สั่งอาหาร หรือซื้อสินค้าอะไรก็ตาม ก็มักจะต้องเหนื่อยหน่ายกับการทำภาษามือประกอบหรือลดสปีดในการพูดลง กว่าจะสื่อสารกันรู้เรื่องนั่นเอง
สาเหตุที่ผลสำรวจออกมาเช่นนี้ ก็เพราะว่าการเรียนภาษาอังกฤษในประเทศญี่ปุ่นไม่ค่อยจะเป็นที่นิยมกัน รวมถึงการเรียนการสอนภาษานี้ก็ยังดูไม่แน่นเท่ากับที่ประเทศอื่นๆ ในเอเชียสอนด้วย (เช่น ฮ่องกง สิงคโปร์ หรือฟิลิปปินส์) จึงไม่แปลกที่เรื่องนี้จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้นักท่องเที่ยวจากตะวันตกไม่ค่อยอยากจะสละเวลามาเที่ยวญี่ปุ่นครับ
เครดิต: Rocketnews24
เครดิตรูป Thumbnail: STbooking