ความเชื่อหลายอย่างๆ ของญี่ปุ่นอาจะเป็นที่คุ้นเคยกันทั่วไป คุณอาจจะเคยได้ยินมาบ้างว่า เวลาที่จามออกมา แสดงว่ามีคนกำลังพูดถึง, กระจกแตกเป็นลางบอกเหตุร้าย, หรือเรื่องที่ว่าการพบใบโคลเวอร์ 4 แฉกจะเจอเรื่องดีๆ แต่ก็มีความเชื่อหลายๆ อย่างที่มันดูญี่ปุ่นจ๋า แบบที่จะย้อนไปดูความเป็นมาก็ไม่ได้ แต่ก็ยังพอมีทฤษฎีมารองรับอยู่บ้าง วันนี้เราเลยจะพาทุกคนไปรู้จักกับ 5 ความเชื่อแบบญี่ปุ่นๆ ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน จะมีความเชื่อแบบไหนบ้าง ไปชมกันเลยค่ะ
1. ตุ๊กตาไล่ฝน (てるてる坊主 - Teru Teru bouzu)
อาจจะเคยได้ยินกันมาหรือเคยเห็นในการ์ตูนชื่อดังอย่างอิคคิวซัง ที่เป็นตุ๊กตาก้อนทิชชู่หรือผ้าเล็กๆ แขวนอยู่นอกบ้าน ซึ่งเจ้าตุ๊กตานี้มีชื่อเรียกว่า Teru Teru bouzu หรือ ตุ๊กตาไล่ฝน เริ่มทำกันมาตั้งแต่สมัยเอโดะ(ช่วงปี ค.ศ.1603 - 1868) ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากตุ๊กตาของจีน เชื่อกันว่าเป็นสิ่งที่จะช่วยทำให้ฝนไม่ตกในวันรุ่งขึ้น ถ้าอยากให้ฝนหยุดตกก็ให้ทำเจ้าตุ๊กตาไล่ฝนแขวนไว้ที่หน้าต่าง ตามธรรมเนียมดั้งเดิมแล้วจะให้แขวนไว้แบบไม่ต้องวาดอะไรลงไปบนใบหน้า ถ้าหากว่าวันต่อไปฝนไม่ตกจึงค่อยวาดหน้าตาลงไปและนำมันไปล้างในแม่น้ำ แต่ถ้าเกิดว่าแขวนตุ๊กตานี้ไว้แล้ววันต่อมาฝนตก ให้นำมันไปล้างในแม่น้ำเลยโดยไม่ต้องวาดหน้าลงไป แต่เพราะมันมีหน้าตาแล้วดูน่ารัก คนญี่ปุ่นในปัจจุบันเลยก็ไม่ค่อยปฎิบัติตามธรรมเนียมนี้กันเท่าไหร่แล้ว แขวนตุ๊กตาไล่ฝนแบบที่วาดหน้าเรียบร้อยแล้วกันไปเลย
2. ถ้าก้านใบชาตั้งตรงจะพบกับเรื่องดีๆ
เคยมีคนพูดกันว่า หากก้านใบชาตั้งตรงเวลาที่รินน้ำชาลงไปในถ้วยแสดงว่าวันนั้นจะพบโชคดี คนญี่ปุ่นเองก็ไม่รู้ที่มาของความเชื่อนี้เหมือนกัน อาจจะเป็นเพราะว่ามันเกิดขึ้นได้ยากมากพอๆ กับการหาใบโคลเวอร์ 4 แฉกก็เป็นได้ แต่เดี๋ยวนี้ก็มักจะมีแต่น้ำชาที่ขายกันแบบขวดสำเร็จรูป ความเชื่อนี้เลยอาจจะไม่ค่อยมีใครรู้จักกันสักเท่าไหร่
3. ห้ามนอนหันไปทางทิศเหนือ
ข้อนี้ก็ถูกจัดให้เป็นสิ่งที่ไม่ดี เพราะที่ญี่ปุ่นนั้นทิศเหนือคือทิศของผู้ที่เสียชีวิต ร่างกายของผู้ที่เสียชีวิตแล้วนั้นจะถูกจัดให้หันศีรษะไปทางทิศเหนือ แต่การนอนหันไปในทิศอื่นๆ ก็มีความเชื่อในเรื่องโชคลางด้วยเหมือนกัน อย่างการนอนหันศีรษะไปทางทิศตะวันออกจะช่วยรักษาความอ่อนเยาว์และนำสิ่งดีๆ เข้ามา การหันไปทางทิศตะวันตกจะช่วยทำให้จิตใจสงบและช่วยทำให้ผ่อนคลายไปตลอดวัน แต่การนอนหันศีรษะไปทางทิศใต้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีเช่นกัน
4. ถ้าตัดเล็บตอนกลางคืน อาจจะไม่ได้อยู่ดูใจบุพการีในยามวาระสุดท้าย
ชาวญี่ปุ่นสมัยนี้อาจจะตัดเล็บกันในเวลาใดก็ได้ แต่ก็ยังมีคนที่ยังเชื่อคำพูดนี้อยู่บ้าง นอกจากญี่ปุ่นแล้วที่เกาหลีก็มีความเชื่อแบบนี้อยู่ด้วยเช่นกัน ว่ากันว่าที่มาของความเชื่อนี้น่าจะมาจากการเตือนให้ระวังเรื่องความปลอดภัย เพราะในสมัยก่อนเวลาที่จะตัดเล็บกันไม่ได้ใช้กรรไกรตัดเล็บเล็กๆ เหมือนอย่างตอนนี้ แต่ใช้ดาบในการตัดเล็บกัน และสมัยก่อนก็ไม่ได้มีหลอดไฟสว่างๆ อย่างในปัจจุบัน ดังนั้นคำพูดนี้จึงเกิดขึ้นจากคนที่เตือนให้คนอื่นไม่ตัดเล็บตอนกลางคืนเพราะว่าอาจจะโดนดาบเฉือนเนื้อแทนเพราะมองไม่เห็นนั่นเอง
5. ห้ามเขียนชื่อผู้อื่นด้วยหมึกสีแดง
มีอยู่หลายทฤษฎีที่อธิบายว่าทำไมถึงไม่ควรเขียนชื่อคนอื่นด้วยหมึกแดง เหตุผลหนึ่งคือสีแดงจะทำให้นึกถึงสงครามและการหลั่งเลือด ที่ญี่ปุ่นเองเวลาทำป้ายหลุมศพไว้ก่อนตายจะมีการสลักชื่อไว้ด้วยตัวอักษรสีแดง และเมื่อเสียชีวิตแล้วจะถูกแทนด้วยสีดำ เหตุผลที่ทำให้สีแดงเป็นสีที่นำมาซึ่งโชคร้ายก็เพราะว่ามันเป็นสีที่ทำให้ผู้คนนึกถึงความตายนั่นเอง และก็ยังมีเหตุผลอื่นๆ อย่างเช่น ในบางที่จะเขียนชื่ออาชญากรด้วยหมึกสีแดง และที่ญี่ปุ่นนนั้นก็มีวลีที่ว่า เลขตัวแดง (赤字になる - akaji ni naru) ซึ่งหมายถึงความล้มเหลวในทางธุรกิจ ส่วนการประสบความสำเร็จในทางธุรกิจนั้นจะเรียกว่า เลขตัวดำ (黒字になる - kuroji ni naru)
นอกจากนี้แล้วก็ยังมีความเชื่อประหลาดๆ อีกเยอะแยะมากมาย อย่างเช่น ถ้าสะอึกครบพันครั้งแล้วอาจจะตาย หมายถึงการสะอึกบ่อยๆ นั้นเป็นสัญญาณของการเจ็บป่วยครั้งใหญ่และอาจถึงตายได้ แต่ก็เป็นเพราะว่าคนในสมัยก่อนไม่ได้มีความรู้ทางการแพทย์จึงได้พูดกันไปแบบนั้น ถึงแม้ความเชื่อบางอย่างอาจจะดูเชยไปบ้าง แต่ก็ยังมีผู้คนอยู่จำนวนไม่น้อยที่ยังเชื่ออยู่โดยเฉพาะผู้เฒ่าผู้แก่ ส่วนสำหรับเราๆ ก็ถือซะว่าเป็นความรู้ติดตัวไว้เผื่อไปเที่ยวญี่ปุ่นก็แล้วกันนะคะ
ที่มา : tokyogirlsupdate