Online Station

รีวิว: Assassin's Creed Movie - เมื่อการกระโดดแห่งศรัทธาพามือสังหารลงไปนอนข้างกองฟาง

แชร์เรื่องนี้:
รีวิว: Assassin's Creed Movie - เมื่อการกระโดดแห่งศรัทธาพามือสังหารลงไปนอนข้างกองฟาง

 

     คุณเป็นแอสซาซินที่กำลังตามหา Piece of Eden ชิ้นหนึ่ง คุณรู้ทางที่จะไปเอามันได้อย่างปลอยภัย แม้จะมีอุปสรรคขวากหนามสักเท่าไหร่ แต่คุณก็มั่นใจว่าในท้ายที่สุดคุณจะเข้าถึงเป้าหมายแน่ๆ แต่ถึงอย่างนั้นคุณก็อยากจะลองบุกเบิกเส้นทางใหม่เพื่อสร้างช่องทางซึ่งสามารถเข้าถึง Piece of Eden ชิ้นนั้นได้มากมายยิ่งกว่าเดิม คุณตัดสินใจลองไปทางนั้น มันเป็นทางที่คุณไม่คุ้นเคยเลยแม้แต่น้อย กระนั้นคุณก็ใช้ประสบการณ์ที่ผ่านมาในการเอาตัวรอด และเชื่อมั่นว่าสัญชาตญานของคุณจะนำพาไปถึงที่หมาย

 

 

     และในที่สุด Piece of Eden มันก็อยู่ตรงหน้า ขอแค่ว่าคุณกระโจนลงกองฟางได้อย่างปลอดภัยทุกอย่างก็จะเรียบร้อย ทว่าการจะทำ Leap of Fate จากจุดนี้มันค่อนข้างยากสักหน่อย คุณจึงเกิดความลังเลในวินาทีสุดท้าย กะพลังในการส่งตัวพลาด สุดท้ายจึงตกลงไปข้างๆ กองฟางที่แม้จะมีเส้นฟางรองอยู่บ้าง แต่ความเจ็บปวดนั้นมันไม่ใช่น้อยๆ

 

 

     ซึ่งนั่นก็คือสถานการณ์ของภาพยนตร์ Assassin's Creed ซึ่งผมพยายามเปรียบเปรยถึงในเวลานี้

 

 

     โดยก่อนที่หนังฉายหากยังจำกันได้ทาง Ubisoft ก็ออกมาบอกอย่างมั่นใจว่าตัวหนังจะสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับหนังจากเกมได้เลยทีเดียว ซึ่งแม้มันจะฟังดูโม้แหลกแหวกทะเลและอหังการ์ตามสไตล์ Ubisoft แต่ผมเชื่อว่าหลายๆ คนรวมถึงผมด้วยนั้นก็คาดหวังให้มันทำได้จริง และตอนนี้ผลก็ออกมาแล้ว เรียกได้ว่าในภาพรวมทั่วไปคงต้องบอกว่า "เละตามเคย" 

 

 

     กระนั้นโดยส่วนตัวผมซึ่งเล่นเกมมาเกือบทุกภาค (ภาคแรกเล่นไม่จบ Liberation ไม่ได้แตะ) กลับรู้สึกว่ามันดีกว่าที่คิด คือเห็นคะแนนจากสื่อนอกออกมาขนพองสยองเกล้าก็แอบหวั่นๆ อยู่ไม่น้อย แต่ก็เห็นคะแนนจากแฟนเกมออกมาใช้ได้เลยรู้สึกว่าคาดหวังได้หน่อยๆ ก็เอาเป็นว่าสำหรับผมนั้น หนังเรื่องนี้ทำไม่ได้อย่างที่หวัง แต่ก็ไม่ได้แย่ระยำอย่างที่กลัว

 

 

     อย่างที่ผมเปรียบเปรยไว้ข้างต้นครับ ผมคิดว่าหนังมาถูกในเกือบจะทุกๆ ทาง แต่มาสะดุดตอนท้ายที่ผู้สร้างเลือกจะหั่นเวลาฉาย จาก 140 นาที เหลือเพียง 116 นาที ซึ่ง 24 นาทีที่ขาดหายไปนั้น ทำให้ตัวหนังประสบปัญหาในการเล่าเรื่องให้ผู้ชมสามารถอินได้มากกว่านี้ อีกทั้งเมื่อดูๆ ไปเราก็สามารถรู้สึกได้ว่าบางฉากนั้นถูกตัดออกไปอย่างชัดเจน ซึ่งมันก่อเกิดปัญหาที่แจ่มแจ้งมากๆ สำหรับผู้ที่ไม่เคยเล่นเกมหรือเฉียดกรายเข้าใกล้ซีรีส์มาก่อน แบบว่าเป็นการเล่าเรื่องที่ไม่มีเกรงใจกันเลยดีกว่า นัยว่าตัวหนังสมมติอยู่ในใจว่าทุกคนรู้จักมักคุ้นเรื่องราวฉากหลังของเกมอยู่แล้ว ขาดความสมูธและละเอียดอ่อนค่อนข้างมาก

 

 

     เนื้อเรื่องของตัวภาพยนตร์นั้นจะไม่มีในเกมภาคไหน ทว่าจะอยู่ในจักรวาลเดียวกันกับเกมครับ ตัวเอกของภาพยนตร์คือ Callum Lynch ซึ่งมีบรรพบุรุษคือ Aguila แอสซาซินจากสเปนซึ่งออกปฏิบัติการช่วงชิง Apple of Eden ในช่วงปี 1492 ร่วมกับกลุ่มภราดรของเขา ตัวหนังพยายามเดินเรื่องให้ดูง่ายที่สุดสำหรับทุกคน ไม่มีลึกลับ ไม่มีซับซ้อน วางโพซิชั่นให้ผู้ชมหน้าใหม่แยกออกชัดเจนในเบื้องต้นว่าแอสซาซินคือพระเอกส่วนเทมพลาร์เป็นตัวโกง (ซึ่งอันที่จริงเป็นสีเทาทั้งคู่) ทว่าขณะเดียวกันบทสนทนากลับยิง Lore ในเกมอัดหน้าผู้ชมรัวๆ ทำให้ตัวหนังค่อนข้างจะดูสับสนในตัวเองหน่อยๆ และกลายเป็นดูงงแบบไร้ชั้นเชิงเข้าไปใหญ่ ดังนั้นพอถึงตรงนี้สามารถสรุปได้เลยครับว่าคุณควรมีความรู้พื้นฐานในจักรวาลของ Assassin's Creed ก่อนเข้าไปรับชมครับ ไม่เช่นนั้นคุณจะตั้งคำถามกับหลายๆ การกระทำของตัวละครอย่างแน่นอน บอกเลยว่าเท็กซ์ไม่กี่ประโยคที่อธิบายเรื่องราวแบคกราวด์ช่วงแรกของเรื่องนั้นหาได้ช่วยอะไรคุณเลย คุณจะมีคำถามตั้งแต่เริ่มยันจบหนังซึ่งแม้จะอธิบายแต่ก็ไม่เคลียร์สักอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเจ้าตัว Apple of Eden เองที่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้แสดงให้เห็นคุณค่าของมันว่าเหตุใดทั้ง 2 องค์กร จึงพยายามตามล่าแทบเป็นแทบตายเพื่อให้ได้มันมาในครอบครอง ซุึ่งพอไม่มีการอธิบายในจุดนี้ การกระทำของตัวละครแทบทั้งเรื่องจึงกลายเป็นคล้ายว่าจะไร้ที่มาที่ไปโดยสิ้นเชิง และแน่นอนว่าการปล่อยให้ผู้มาชมขาดไร้จุดหมายที่สามารถคาดหวังได้ในเนื้อเรื่องมันก็ไม่ใช่อะไรที่โสภาสักเท่าไหร่

 

 

     นอกจากนี้่ด้วยว่าตัวภาพยนตร์นั้นเดินเรื่องอยู่ในจักรวาลเดียวกันกับทั้งตัวเกม คอมมิค และนิยาย มันก็ทำให้การกระทำหลายๆ อย่างในตัวหนังดูไม่สมเหตุสมผลกับเหล่าติ่งและแฟนๆ เช่นกันๆ ประมาณว่า "ทำไมต้องดีใจขนาดนี้, ทำไมต้องทำเหมือนไม่เคยจะมี" เป็นต้น ตัวหนังยังมีอีกหลายอย่างที่โชว์ตรรกะแปลกๆ ไม่สมเหตุสมผล (หนักสุดก็วิธีใช้ Hidden Blade นี่แหละ) แถมต้องขอติเรื่องซับไทยสักหน่อยว่าเลือกคำมาใช้ได้ทื่อไปนิด นัยว่าพอให้รู้เรื่องไม่เน้นความสวยงาม นั่นยังไม่เท่าไหร่ แต่การแปลคติพจน์หลักของแอซซาซินได้ออกทะเลนี่ผมเชื่อว่าแฟนๆ หลายคนคงหงุดหงิดไม่น้อย (Nothing is true, Everything is permitted 'ไม่มีสิ่งใดจริง, ทุกสิ่งล้วนเป็นไปได้' ดันแปลเป็น 'ไม่มีสิ่งใดจริง, พวกเราทำได้ทุกอย่าง' ซะอย่างนั้น!)

 

 

     ร่ายมาซะยาวแถมพิมพ์ข้อเสียไม่ยั้ง แต่ผมยังยืนยันคำเดิมครับว่าความรู้สึกของผมนั้นค่อนไปทางชอบ และต้องการให้มันได้สร้างภาคต่อเป็นอย่างมาก ด้วยความที่ Assassin's Creed มีจักรวาลเดียว และสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งในเกม, หนัง, นิยาย หรือคอมิค แทบมั้งหมดล้วนนับเป็น Canon ดังนั้นภาพของสงครามเทมพลาร์แอสซาซินในยุคปัจจุบันมันจึงกว้างมากๆ กว้างชนิดที่ว่า คนที่เล่นแต่เกมก็ยังไม่สามารถเข้าใจสถานการณ์ได้หมด เพราะเนื้อเรื่องในเกมก็เป็นเพียงส่วนหนึงในจักรวาลเท่านั้น การจะตามเก็บเรื่องราวทั้งหมดมันอาจจะยากและใช้เวลาสักหน่อย แต่หากคุณสามารถเข้าใจมันได้สัก 50% เป็นอย่างน้อย คุณจะรู้สึกได้ในทันทีว่าตอนจบของหนังมันเป็นอะไรที่กระตุ้นต่อมความอยากจะเสพเนื้อเรื่องถัดจากนี้เป็นอย่างมาก ไม่ว่ามันจะมาในรูปแบบเกม, นิยาย, คอมิค หรือหนังภาคต่อก็ตาม

 

 

     และถ้าไม่นับการดำเนินเรื่องที่มีปัญหาจะแมสก็ไม่ใช่จะกีคก็ไม่เชิง ผมก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวหนังจะดูถูกคนดูอะไร เพราะในแง่เทคนิคพิเศษ, การถ่ายทำ, มุมกล้อง, คิวบู๊ รวมถึงคอสตูมต่างๆ ล้วนจัดเต็มในแบบที่ไปไกลกว่าหนังจากเกมส่วนใหญ่อย่างเห็นได้ชัด ตรงจุดนี้สามารถใช้คำว่าเกินคาดได้เลย ยังไม่นับรวมนักแสดงระดับดาราชิงรางวัลที่ตบเท้าเข้าร่วมโปรเจคนี้มากมาย โดยเฉพาะในรายของไมเคิล ฟาสเบนเดอร์ที่เล่นได้อย่างโดนเด่น ขณะที่มาริยง โกติยาร์ด ผู้รับบทโซเฟีย แม้ตัวบทจะไม่เอื้อให้ปล่อยพลังการแสดงมากนัก แต่ออร่าของนางก็เจิดจรัสเหลือเกิน ในแง่ของนักแสดงสอบผ่านอย่างไม่ต้องสงสัย 

 

 

     สิ่งที่ดีที่สุดของตัวภาพยนตร์คือคิวบู๊แบบฉบับของแอสซาซินที่ถอดแบบมาจากเกมเกือบจะเป๊ะๆ ทั้งยังการเคลื่อนที่แบบปาร์กัวที่ไม่มากไม่น้อยไม่โอเวอร์จนเกินไป ส่วนใหญ่รู้สึกว่าใช้ได้จริงๆ เรียกว่าเพลินมากๆ กับการนั่งดูในจุดๆ นี้นะฮะคุณผู้ชม และเพื่อเซอร์วิสแฟนๆ ตัวหนังก็ไม่พลาดที่จะยัด Easter Egg เข้ามาเป็นกระบุง โดยเฉพาะในช่วงหลังของเรื่องที่แทบจะเป็น Easter Egg Show time เสียด้วยซํ้าไป เรียกว่าแฟนๆ ร้องเหยดกันนาทีต่อนาทีเลยทีเดียวครับ แถมพอหนังจบออกมายังได้คาดเดาถึงความเป็นไปในจักรวาลได้อย่างสนุกอีกต่างหาก เป็นความสุขของเหล่าติ่งเลย

 

 

     อย่างที่ผมบอกครับ แต่หนังไม่ได้แย่ แต่ก็ไม่ได้ดีขนาดสรรเสริญหรือเชิญชวนให้ผู้คนทั่วไปไปดูได้อย่างเต็มปาก เทียบกับ Warcraft อีกหนึ่งหนังจากเกมของปีนี้ ผมว่า Warcraft ยังจะดูง่ายกว่าด้วยซํ้าไป แต่อย่าเข้าใจผิดว่า Assassin's Creed เป็นหนังที่ดูยากขนาดนั้น เพราะมันเป็นหนังที่ดูสับสนในการนำเสนอ แม้ตามความเห็นผมจะไม่เหมาะกับมือใหม่อย่างร้ายกาจ กระนั้นหากจับจุดได้มันยังมีความย่อยง่ายอยู่บ้างในความพยายามที่จะลุ่มลึก แต่ถ้าต้องการจะอินไปกับมันให้มากขึ้นก็ต้องทำการบ้านก่อนรับชมหนักสักหน่อยนั่นเองครับ

 

 

 

แชร์เรื่องนี้:
Dark_Libra
About the Author

Dark_Libra

Everything in this world comes down to the matter of ponytail

เรื่องที่คุณอาจสนใจ

Online Station