วันคริสต์มาสทั้งที มารู้จักที่มาของเจ้าต้นคริสต์มาสกันเถอะ

แชร์เรื่องนี้:
วันคริสต์มาสทั้งที มารู้จักที่มาของเจ้าต้นคริสต์มาสกันเถอะ

        นานมาแล้วก่อนที่จะกำเนิดศาสนาคริสต์ ต้นหญ้าหรือว่าต้นไม้ใดๆ ที่มีสีเขียวตลอดทั้งปีนั่นหมายถึงสิ่งนั้นเป็นของพิเศษสำหรับผู้คนในหน้าหนาว ซึ่งจากการสำรวจประวัติศาสตร์แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการเฉลิมฉลองในช่วงหน้าหนาวจนถึงการฉลองของราชินี Victoria จนกระทั่งการประดับไฟบนต้นไม้ของ Rockefeller Center แต่ที่มามันมาจากไหนกันแน่มาดูกันครับ

        ก่อนอื่นแล้วจุดเริ่มต้นนั้นน่าจะมาจากในช่วงฤดูหนาว ผู้คนต่างถือว่าต้นหญ้าหรือต้นไม้ที่มีสีเขียวเป็นของพิเศษในหน้าหนาว ดังนั้นผู้คนจึงตกแต่งบ้านของพวกเขาโดยการแขวนกิ้งไม้ดิบไว้เหนือประตู หรือหน้าต่างของพวกเขา ซึ่งทำกันในหลายประเทศในแถบยุโรปโดยมีความเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้แม่มด, ภูตผี, วิญญาณร้าย และโรคภัยไม่มากล้ำกราย

        เช่นเดียวกับแถบขั้วโลกพวกเขามีช่วงกลางวันที่สั้นและกลางคืนที่ยาวนานในช่วงวันที่ 21 - 22 ธันวาคม ซึ่งเป็นเวลาที่ดวงอาทิตย์อยู่ห่างจากเส้นศูนย์สูตรมากที่สุด ผู้คนในสมัยโบราณต่างเชื่อว่าพระอาทิตย์นั้นเป็นพระเจ้า และฤดูหนาวจะมาทุกปีเพราะว่าพระอาทิตย์ที่เป็นพระเจ้านั้นได้ป่วยและอ่อนแอ การเฉลิมฉลองในช่วงเวลานั้นเป็นเพราะว่ามันได้หมายถึงการสิ้นสุด และแสดงถึงว่าพระอาทิตย์ผู้เป็นพระเจ้านั้นเริ่มมีอาการดีขึ้น เหล่าพืชที่เขียวชะอุ่มตลอดทั้งปีนั้นจะทำให้นึกถึงเหล่าพื้นสีเขียวให้เติบโตขึ้นมาอีกครั้งเมื่อพระอาทิตย์กลับมาแข็งแรงอีกครั้ง และฤดูร้อนจะกลับมานั่นเอง

        ชาวอียิปต์โบราณเองก็บูชาพระเจ้าที่มีชื่อว่า "รา" ซึ่งเป็นพระเจ้าที่หัวเป็นเหยี่ยว และมีพระอาทิตย์ลุกเป็นไฟอยู่ในมงกุฏที่สวมอยู่ ในช่วงเวลาเดียวกันจะถือว่า "รา" เริ่มฟื้นตัวจากอาการเจ็บป่วย ชาวอียิปต์จะประดับประดาบ้านของพวกเขาไปด้วยต้นปาล์ม ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพวกเขายินดีกับการมีชีวิตที่อยู่เหนือความตายเช่นกัน

        ส่วนชาวโรมันเองในช่วงเวลานั้นก็มีงานฉลองที่เรียกว่า Saturnalia เพื่อเป็นเกียรติแก่ Saturn พระเจ้าแห่งการเกษตร ซึ่งชาวโรมันเองก็รู้ว่าในช่วงนี้ฟาร์ม และสวนผลไม้จะเริ่มสีเขียว และออกผล เพื่อเป็นการฉลองพวกเขาจึงตกแต่งบ้าน และวัดของเขาให้เต็มไปด้วยกิ่งไม้ที่เขียวชะอุ่มเช่นเดียว ส่วนในยุโรปก็มี Druid ซึ่งเป็นนักบวชสมัยโบราณของพวกเซลติกส์ก็ตกแต่งวัดของพวกเขาให้เต็มไปด้วยไม้สีเขียวเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของชีวิตนิรันดร์เหมือนกัน รวมไปถึงนักรบป่าเถื่อนอย่างไวกิ้งของสแกนดิเนเวียเองก็คิดว่าพวกพืชที่มีสีเขียวตลอดทั้งปีนี้ก็เป็นต้นไม้ที่มาจากพระเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ Balder เช่นกัน 

        จุดเริ่มต้นของต้นคริสต์มาสนั้นน่าจะเริ่มมาจากที่ประเทศเยอรมันในยุคสมัยศตวรรษที่ 16 เมื่อชาวคริสเตียนที่ศรัทธาได้นำต้นไม้ไปตกแต่งในบ้านของพวกเขา บางคนก็สร้างปิรามิดคริสมาสต์ที่ทำจากไม้ และตกแต่งพวกมันไปด้วยเทียน และไม้สีเขียวตามด้วยเทียนในกรณีที่หาไม้ไม่ได้ ซึ่งการทำก็กระจายกันไปอย่างกว้างขวาง โดยเชื่อว่า Martin Luther ผู้ปฏิรูปนิกายโปรแตสแตนท์เป็นคนแรกที่เริ่มจุดเทียนไว้บนต้นไม้ และเดินทางไปยังบ้านของเขาเมื่อช่วงเย็นในฤดูหนาว พร้อมกับเรียบเรียงคำอวยพรของพระเยซูคริสต์พร้อมกับติดดาวเป็นประกายไว้ตรงกลางต้นไม้ เพื่อรำลึกถึงภาพของครอบครัวของเขาที่สร้างขึ้นด้วยต้นไม้ที่อยู่ในกลางห้อง และมีสายโยงยาวเต็มไปด้วยเทียนไขที่จุดแล้ว

        ในศตวรรษที่ 19 คนอเมริกันพบกว่าเรื่องต้นไม้เป็นเรื่องประหลาด และไม่ได้รับการยอมรับจากอเมริกันส่วนใหญ่เพราะถือว่าเป็นสัญลักษณ์ทางศาสนา จนกระทั่งในปี 1846 ราชินี Victoria และเจ้าชายของเยอรมัน Albert ได้ถูกเผยภาพสเก็ตลงหนังสือพิมพ์ลอนดอน ซึ่งพวกเขาได้ยืนอยู่กับพวกเด็กๆ ของพวกเขาที่ยืนล้อมต้นคริสต์มาส ซึ่งหัวข้อของราชินี Victoria เป็นที่นิยมมากในตอนนั้นและทำให้มันกลายเป็นแฟชั่นในประเทศอังกฤษในที่สุด จนกระทั่งลามไปถึงสังคมแฟชั่นของชาวอเมริกัน จุดเริ่มต้นของต้นคริสต์มาสจึงเริ่มมาถึงในตอนนี้นั่นเอง

        ในปี 1890 เครื่องประดับคริสต์มาสจากประเทศเยอรมัน และต้นคริสต์มาสกลายเป็นที่นิยมไปทั่วสหรัฐอเมริกา โดยมีข้อสังเกตที่น่าประหลาดใจอยู่ว่าชาวยุโรปจะใช้ต้นไม้ขนาดเล็กประมาณ 4 ฟุตเพื่อทำต้นคริสต์มาส แต่ชาวอเมริกันชอบที่จะให้ต้นคริสต์มาสของพวกเขาสูงจนถึงเพดาน

        แต่พอช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ชาวอเมริกันส่วนใหญ่ตกแต่งต้นไม้ของพวกเขาด้วยเครื่องประดับที่ทำขึ้นมาเอง ในระหว่างที่ลูกครึ่งเยอรมัน/อเมริกัน ยังคงใช้แอปเปิ้ล, ถั่ว และคุกกี้ที่ทำจากอัลมอนด์ หลังจากนั้นก็เริ่มมีการย้อมสีสดใสให้กับผลไม้เพื่อนำไปติดบนต้นไม้พร้อมกับนำหลอดไฟไปติดตั้งเพื่อทำให้ต้นไม้นั้นเรืองแสงไปจนกว่าจะหมดวันคริสต์มาส จนเริ่มมีการนำต้นคริสต์มาสไปตั้งไว้สี่แยกของเมืองไปทั่วทั้งประเทศ และต้นคริสต์มาสในบ้านก็กลายเป็นประเพณีของชาวอเมริกันไปในที่สุด

 

ที่มา : http://www.history.com/topics/christmas/history-of-christmas-trees

 

แชร์เรื่องนี้:

เรื่องที่คุณอาจสนใจ