5 เทรนด์แอนิเมชั่นญี่ปุ่น ที่จะได้เห็นในปีนี้

แชร์เรื่องนี้:
5 เทรนด์แอนิเมชั่นญี่ปุ่น ที่จะได้เห็นในปีนี้

Toon GuRu by AIR จาก Online Station Magazine

        โลกเราแต่ละปีก็มีเทรนด์ใหม่เปลี่ยนไปทุกปี ไม่ว่าจะ มือถือ แฟชั่น  ภาพยนตร์ต่างประเทศ เกมออนไลน์ แน่นอนว่ารวมถึงแอนิเมชั่นของญี่ปุ่นด้วย ที่ถึงจุดๆ หนึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบไปจากเดิม สำหรับปี 2558 นี้ ก็เริ่มมีบางอย่างที่เปลี่ยนไปจากเดิมหรือเด่นชัดขึ้นจากปีที่ผ่านมา มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง

1. แอนิเมชั่นจากหนังสือการ์ตูน
        ตามที่เคยเขียนเหตุผลไปใน Online Station เล่มที่ 601 สรุปย่อๆ คือ เรื่องจากหนังสือการ์ตูนค่อนข้างเหมาะกับการทำแอนิเมชั่นในยุคนี้ เนื่องจากคุณภาพของแอนิเมชั่นดีขึ้นกว่าสมัยก่อน ภาพเคลื่อนไหว เสียงประกอบ ผู้ผลิตเช็คกระแสความนิยมได้ง่าย และอีกหลายๆ เหตุผลที่ทำให้หนังสือการ์ตูนกลายเป็นสื่อเด่นอย่างหนึ่งที่ถูกเลือกในการทำทีวีแอนิเมชั่นช่วงปีนี้และปีหน้า

        นอกจากหนังสือการ์ตูนใหม่ตามกระแสแล้ว พวกหนังสือการ์ตูนเก่าที่จบไปนาน แต่ยังไม่ได้ทำเป็นทีวีแอนิเมชั่น ก็เริ่มมีสตูดิโอที่สนใจมากขึ้น อย่าง ปรสิต เดรัจฉาน เมื่อปลายปี 2557 หรือ ล่าอสุรกาย เพิ่งประกาศเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ ว่าจะฉายทีวีแอนิเมชั่นในเดือนกรกฎาคม ซึ่งคงจะมีเพิ่มขึ้นอีก

ความแตกต่างของภาพขาว-ดำ และภาพสี

2. ให้ความสำคัญกับเนื้อเรื่องกว่าเมื่อก่อน
        แนวที่กล่าวถึงชีวิตประจำวันไปเรื่อยๆ ชมรมอะไรสักอย่างในโรงเรียนที่ไม่ได้มีกิจกรรมเป็นเรื่องเป็นราวนัก หรือ แนวสภานักเรียน เคยได้รับความนิยม เพราะเป้าหมายขายกลุ่มละครเป็นหลัก โดยไม่ต้องคิดเนื้อเรื่องที่ซับซ้อนนัก แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ความนิยมแนวนี้ลดลงไปมาก เหตุผลหนึ่งเพราะทำแล้วขายได้ยาก ซึ่งผู้ซื้อเองก็ไม่ทราบว่าจะจ่ายเงินดูตัวละครคุยกันไปมาแบบไม่มีความคืบหน้าไปทำไมเช่นกัน

        ถึงจำนวนปริมาณแนวนี้จะลดลง แต่แนวชมรม ในโรงเรียนก็ยังคงมีอยู่ต่อไปเพราะเข้าถึงกลุ่มผู้ชมในวัยเรียนได้ง่ายกว่าหลายๆ แนว และถ้าทำได้น่าสนใจก็ยังคงขายได้อยู่ ไม่ค่อยเสี่ยงเมื่อเทียบกับแนวอื่น ทำให้แนวที่ทำออกมาน่าสนใจยังคงได้รับความนิยมอยู่

แนว Slice of Life ยังคงน่าสนใจ แต่ขึ้นกับเนื้อเรื่อง

3. แนวไอดอลและดนตรี มาเพียบ
        ปกติแอนิเมชั่นแทบทุกเรื่องก็มีขายเพลงซิงเกิลอยู่แล้ว เพียงแต่ส่วนใหญ่จะเป็นการจ้างนักร้องที่มีผลงานในระดับหนึ่งมาร้องเพลงให้ แต่ยุคหลังถึงจะใช้นักพากย์แต่ถ้าเรื่องประสบความสำเร็จดี ยอดขายเพลงก็จะดีตามไปด้วยเช่นกัน

        แต่จุดที่ยากสำหรับแนวนี้ คือ เนื้อเรื่องที่แต่งได้ยากมากโดยเฉพาะถ้าจะให้เป็นแบบไม่เคยทำลงสื่อไหนมาก่อน และเป็นที่แน่นอนว่าหนังสือการ์ตูน กับ ไลท์โนเวลส่วนใหญ่คงไม่มีแนวร้องเพลงอยู่แล้ว เพราะสื่อสารด้วยตัวหนังสือไม่ได้ ดังนั้น ส่วนใหญ่น่าจะไปดึงตัวละครจากเกมพวก Visual Novel หรือเกมมือถือมากกว่า ซึ่งมีตัวเลือกอยู่ค่อนข้างมากอยู่แล้วในปัจจุบัน

Uta no Prince - sama - Maji Love Revolutions

4. เทคโนโลยี 3D เริ่มมีบทบาทชัดเจน
        การวาดภาพ 2 มิติจะมีปัญหาเรื่องการเปลี่ยนมุมมองเสมอ ทำให้เกิดความผิดพลาดง่ายและใช้เวลานานในการตรวจเช็คแก้ไข จึงมีการใช้เทคโนโลยี 3D CG เข้ามาช่วยงานคีย์แอนิเมชั่นเพื่อลดภาระบางส่วนลง

        ทั้งนี้ ยังคงเป็นการเพิ่มในระดับที่ไม่มากเกินไปและคล้ายคลึงกับต้นฉบับให้มากที่สุด แต่ถ้าเทคโนโลยีด้าน 3D ก้าวหน้ามากขึ้นจนคล้ายยิ่งกว่าเดิม อนาคตคงได้เห็นแอนิเมชั่นแบบ 3D มากขึ้น

Show by Rock

5. เรื่องภาคต่อเริ่มมาเยอะขึ้น
        ส่วนหนึ่งเพราะแอนิเมชั่นที่ประสบความสำเร็จเมื่อช่วง 2–3 ปีก่อนยังมีหลายเรื่องที่ยังไม่ได้ทำภาคต่อ ทำให้เรื่องที่มีภาคต่อเริ่มมากขึ้นในปีนี้ อีกส่วนหนึ่งเพราะมีแอนิเมชั่นแบบฉายแบ่งฤดูกาลเยอะขึ้น ทำให้ดูเหมือนภาคต่อเยอะขึ้น

        สาเหตุที่แอนิเมชั่นแบบ 12-13 ตอน แล้วเว้น 1 ฤดูกาลก่อนฉายต่อเพิ่มขึ้น เพราะมีข้อจำกัดเรื่องเวลาการฉายและค่าใช้จ่ายที่สูงในการฉายต่อเนื่อง 2 ฤดูกาล แต่การทำเพียงสิบกว่าตอนจบก็อาจเล่าเรื่องได้ไม่ดีพอเช่นกัน จึงต้องหาทางเลือกใหม่ที่น่าจะพอลดปัญหาได้ ซึ่งการเว้นฉายแบบ 3 เดือนช่วยได้หลายเรื่อง ทำให้นิยมกันมากขึ้น

Tokyo Ghoul √A (Root A) เปลี่ยนเนื้อเรื่องจากต้นฉบับในครึ่งหลังค่อนข้างชัดเจน

        ผลการฉาย 12–13 ตอนนั้น ส่งผลดีต่อขั้นตอนการผลิต ทั้งค่าใช้จ่ายและเวลาในการทำต่อครึ่งหลัง แล้วยังวัดผลความนิยมของผู้ชมได้ง่าย ซึ่งถ้าภาคแรกขายไม่ดี ก่อนจะต่อภาค 2 ในอีก 3 เดือน ยังพอมีเวลาที่ปรับเปลี่ยนให้ภาคต่อน่าสนใจมากขึ้นได้

แชร์เรื่องนี้:

เรื่องที่คุณอาจสนใจ