เปรียบเทียบเด็กไทย-เด็กนอกทำไมเราฉลาดน้อยกว่า

แชร์เรื่องนี้:
เปรียบเทียบเด็กไทย-เด็กนอกทำไมเราฉลาดน้อยกว่า

ปัญหาโลกแตกหรือไทยแตกที่กำลังมีแรงผลักดันจากสื่อต่างๆ ให้มีการแก้ไขอีกทั้งจากการสำรวจในช่วงที่ผ่านมาพบว่าเด็กไทยฉลาดต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน เรียกได้ว่าในละแวกเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ "เด็กไทยฉลาดต่ำสุด" นอกจากนี้ยังมีการทำวิจัยและสำรวจข้อมูลต่างๆ อีกมากมายจึงพบว่าเด็กไทยใช้เวลาเรียนมากกว่าประเทศอื่น อีกทั้งยังมีการบ้านมากเกินความจำเป็น ล่าสุด สพฐ.(สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน) ได้ออกกฏบังคับทุกโรงเรียน "ห้ามครูให้การบ้านมาก และยากเกินไป ควรเน้นงานเป็นกลุ่ม และใครลอกการบ้านหรืองานจะต้องถูกลงโทษ" เรียกได้ว่าอาจะเป็นจุดเริ่มที่ดีอย่างหนึ่ง

1.ครูต้องมอบหมายการบ้านอย่างเหมาะสม ไม่มากและยากเกินไป ควรมอบหมายให้งานกลุ่ม
2.ให้ผู้บริหาร ร.ร.ติดตาม หากนักเรียนมีการลอก หรือจ้าง ให้ลงโทษตามระเบียบ
3.ให้แต่ละ ร.ร.ติวสอนเสริมให้กับนักเรียน โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
4.ให้ผู้บริหารสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ติดตามการให้การบ้านของแต่ละ ร.ร.อย่างใกล้ชิด 

เด็กไทยเรียนมากแค่ไหน (จากข้อมูลของ UNESCO)
คราวนี้เรามาดูกันก่อนว่าเด็กไทยเรียนกันเยอะแค่ไหน ซึ่งจากข้อมูลของ UNESCO จะเห็นว่าจำนวนชั่วโมงเรียนต่อปีของนักเรียนในระดับอายุ 9 – 13 ปีในแต่ละประเทศ จะพบว่า

เด็กไทยเรียนหนักเป็นอันดับ 2 ในระดับอายุ 9 ปี    1,080 ชั่วโมงต่อปี
เด็กไทยเรียนหนักเป็นอันดับ 1 ในระดับอายุ 10 ปี    1,200 ชั่วโมงต่อปี
เด็กไทยเรียนหนักเป็นอันดับ 1 ในระดับอายุ 11 ปี    1,200 ชั่วโมงต่อปี
เด็กไทยเรียนหนักเป็นอันดับ 5 ในระดับอายุ 12 ปี    1,167 ชั่วโมงต่อปี
เด็กไทยเรียนหนักเป็นอันดับ 8 ในระดับอายุ 13 ปี    1,167 ชั่วโมงต่อปี

ส่วนนี่คือตัวเลขของประเทศอื่นๆ ที่น่าสนใจมีดังนี้ (เด็กอายุ 11 ปี)
อันดับ 2 อินโดนีเซีย    1,176 ชั่วโมงต่อปี
อันดับ 3 ฟิลิปปินส์    1,067 ชั่วโมงต่อปี
อันดับ 4 อินเดีย    1,051 ชั่วโมงต่อปี
อันดับ 11 มาเลเซีย    964 ชั่วโมงต่อปี
อันดับ 19 เยอรมนี    862 ชั่วโมงต่อปี
อันดับ 28 จีน    771 ชั่วโมงต่อปี
อันดับ 30 ญี่ปุ่น    761 ชั่วโมงต่อปี

เป็นที่น่าสังเกตว่าเวลาที่ใช้ในการศึกษาภาคบังคับของเด็กไทยนั้นเรียนค่อนข้างเยอะกว่าเพื่อนบ้าน นี่แค่นับเวลาจากชั่วโมงเรียนปกติไม่นับชั่วโมงเรียนพิเศษ หรือเรียนนอกเวลาอีก แต่แล้วผลที่ออกมากลับกลายเป็นเด็กไทยกับฉลาดน้อยลงเรื่อยๆ  ทั้งที่เรียนหนักกว่าเราเช่น จีน หรือ ญี่ปุ่น ก็ล้วนมีชั่วโมงเรียนน้อยกว่าแต่ผลกลับออกมาดีกว่า

เรียนกันเยอะขนาดนี้แต่ที่ประชุมเศรษฐกิจโลก WEF เผยผลจัดอันดับการศึกษาอาเซียน พบประเทศไทยรั้งท้าย อันดับ 8
อันดับ 1 ประเทศสิงคโปร์
อันดับ 2 ประเทศมาเลเซีย
อันดับ 3 ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม
อันดับ 4 ประเทศฟิลิปปินส์
อันดับ 5 ประเทศอินโดนีเซีย
อันดับ 6 ประเทศกัมพูชา
อันดับ 7 ประเทศเวียดนาม
อันดับ 8 ประเทศไทย

PISA [Program for International Student Asssesment] หรือโปรแกรมสำหรับประเมินนักเรียนต่างชาติ มีประเทศเข้าร่วมการประเมินทั้งหมด 65 ประเทศ ใช้นักเรียนในการประเมินทั้งหมด 470,000 คน เนื้อหาของการประเมินประกอบด้วย 3 ส่วนคือ การอ่าน คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ซึ่งจากผลประเมินประเทศไทยก็ถูกจัดอยู่ที่อันดับ 50 ของโลก

อันดับ 1 จีน(เซี่ยงไฮ้) 
อันดับ 2 เกาหลีใต้
อันดับ 3 ฟินแลนด์
อันดับ 4 ฮ่องกง-จีน
อันดับ 5 สิงคโปร์ 
อันดับ 6 แคนาดา
อันดับ 7 นิวซีแลนด์
อันดับ 8 ญี่ปุ่น
อันดับ 9 ออสเตรเลีย
อันดับ 10 เนเธอร์แลนด์

อันดับ 50 ไทย อันดับ 51 ตรินิแดด อันดับ 52 โคลัมเบีย อันดับ 53 บราซิล อันดับ 54 มอนเตเนโกร อันดับ 55 จอร์แดน อันดับ 56 ตูนีเซีย อันดับ 57 อินโดนีเซีย อันดับ 58 อาร์เจนติน่า อันดับ 59 คาซัคสถาน อันดับ 60 แอลบาเนีย อันดับ 61 กาตาร์ อันดับ 62 ปานามา อันดับ 63 เปรู อันดับ 64 อาเซอร์ไบจาน อันดับ 65 คีร์กิจสถาน

เปรียบเทียบการศึกษาไทยและฟินแลนด์ ทั้งๆที่เขาใช้เวลาเรียนวันนึงแค่ 5 ชั่วโมง/วัน โดย อ.วิริยะ ฤาชัยพาณิชย์

เรื่องแรก 
ที่ฟินแลนด์ผปค. จะให้เด็กเรียนเมื่ออายุหกเจ็ดขวบ 
เขาไม่เน้นโรงเรียนอนุบาลเพราะอยากให้เด็กอยู่กับครอบครัว
เขาเชื่อว่าครอบครัวให้ความรักความรู้และถ่ายทอดวัฒนธรรม 
สร้างสิ่งดีงามให้เด็กได้ดีกว่าโรงเรียนอนุบาล
ส่วนบ้านเราแข่งกันเข้าอนุบาลเดี๋ยวนี้มีติวเข้าอนุบาลกันแล้ว
.... เพราะเขารู้ว่าการศึกษาคือเรื่องของการพัฒนาคนไม่ใช่แค่การส่งลูกเข้าโรงเรียน....................

เรื่องที่สอง
เด็กที่นี่(ฟินแลนด์)
เรียนไม่เกินวันละห้าชั่วโมง(ในระดับประถม) 
ด้วยแนวคิดที่จะให้เด็กมีเวลาทำสิ่งที่ชอบกิจกรรมที่สนใจ
ส่วนเด็กไทยอัดกันเข้าไปจนไม่เหลือเวลาให้คิดค้นหา 
และเรียนรู้เรื่องที่ตนสนใจ

เรื่องที่สาม
ห้องเรียนเขากำหนดให้มีเด็กห้องละ12 คนมากสุดก็20 คนครับ
โรงเรียนยิ่งดีก็ยิ่งจำกัดจำนวนเด็กต่อห้องเพราะเขาจะพัฒนาคนและคนแต่ละคนไม่เหมือนกัน
เขาอยากพัฒนาศักยภาพเด็กแต่ละคน

เด็กได้คิดพูดนำเสนอ 
แม้การสอบข้อสอบของเด็กในห้องบางทีก็ต่างกัน
เขาไม่ได้สอบเพื่อแข่งขันแต่ใช้เพื่อพัฒนาเด็กแต่ละคน
การดูแลเป็นรายคนจึงสำคัญ
ส่วนของเราบางโรงห้องละ50 คนครับ

เรื่องที่สี่ 
ฟินแลนด์ไม่ให้เกรดเฉลี่ยมาเป็นตัวสร้างความภูมิใจหรืออับอายให้เด็ก
การเรียนคือการพัฒนาแต่ละคนไม่ใช่การแข่งขันเขาจะส่งผลการเรียนให้เฉพาะตัวไม่มีการประกาศ และที่สำคัญเขาไม่มีเกรดเฉลี่ยครับ

เรื่องที่ห้า 
การสอบเขาจะไม่ใช้ข้อสอบมาตรฐานมาเป็นตัววัดนักเรียนทั้งประเทศ
เขาให้โรงเรียนกำหนดข้อสอบที่แตกต่างกันตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายของโรงเรียน 
ส่วนเราทำตรงกันข้ามกับเขาเลยครับ 

เอาข้อสอบเดียวกันไปวัดเด็กทั้งประเทศ 
เพื่อให้เกิดความยุติธรรมเป็นมาตรฐานเดียวกัน 
แนวคิดเรื่องมาตรฐานแบบนี้มันใช้กับการผลิตสินค้า 
แต่โรงเรียนไม่ใช่โรงงานผลิตคนครับ 
การศึกษาไม่ใช่อุตสาหกรรม 

ก็เราทำตรงข้ามที่หนึ่งแทบทุกเรื่องมันถึงเป็นที่โหล่นี่แหละครับ ยังมีอีกครับที่เราทำตรงข้ามกับฟินแลนด์ 

เรื่องที่หก
เขาจ้างผู้อำนวยการมาบริหารโรงเรียนครับ
และให้กรรมการโรงเรียนดูแลผลงานไม่ดีก็เชิญออกได้
เขาไม่ได้ใช้ระบบราชการระบบวิ่งเต้นเอาใจนักการเมือง
เอาใจผู้ใหญ่ในกระทรวงมากำหนดผู้บริหารโรงเรียนหรอกครับ
ส่วนบ้านเราก็อย่างที่เห็นปกติที่ทำกันมาคือใครมีอายุราชการนานขึ้นก็ย้ายไปโรงเรียนใหญ่ขึ้น หรือบางทีก็ถูกย้ายเพราะทำงานบกพร่อง 
ให้ย้ายไปโรงเรียนเล็กโรงเรียนไกล
อ้าวถ้าบกพร่องแล้วย้ายไปโรงเรียนเล็กโรงเรียนไกล 
เด็กโรงเรียนเล็กครูโรงเรียนเล็กไม่มีค่าควรพัฒนาหรือครับ
ก็ต้องรับเคราะห์สิครับ 

โรงเรียนเขาจึงมีคุณภาพเพราะการกระจายอำนาจ
ไม่มีใครรักเด็กนักเรียนเท่าพ่อแม่และครูที่โรงเรียนหรอกครับ

อาชีพครู ที่ฟินแลนด์ เป็นอาชีพที่มีรายได้สูงมาก
เงินเดือนเฉลี่ยมากกว่าอาชีพอืนๆ 

และสถานะทางสังคมก็ดี 
ความใฝ่ฝันของเด็กๆหลายคนคือ อยากเป็นครู 
ประเทศเล็กๆนี้ จึงมีคนตั้งใจอยากเป็นครูกันเยอะ
คนที่เก่งที่สุดของประเทศจะแข่งกันเป็นครู 
ครูทุกคนต้องจบการศึกษาด้านครูในระดับปริญญาโท
ส่วนใครเรียนด้านอื่นก็ต้องไปต่อ ปอโทด้านครูครับจึงมาสมัครสอนได้
ครูที่นี่มีความสุขครับ เพราะฐานะก็ดี สอนก็น้อย มีวันหยุดยาวๆ 
ครูจึงมีเวลา อบรมพัฒนาตนเอง
มีเวลาทำกิจกรรมแบ่งปันสู่สังคมเยอะครับ
ไม่ต้องมาทำกวดวิชา ทำขนมขาย หรือขายตรง ขายประกัน 
ครูบ้านเรา รายได้น้อย ยังต้องดิ้นรนครับ 
หลายท่านเอาตัวเองยังแทบไม่รอด ยังมาเจอภาระงานประหลาดๆ
การวัดกระดาษมากมายจากโรงเรียน 
หลายท่านบ่นว่าช่วงปิดเทอมบางทีก็ยังไม่ได้หยุด
แล้วจะมีความสุข ความหวังอะไร มาถ่ายทอดสู่เด็กล่ะครับ
ก็เหลือและหวังได้แต่ หัวใจ ครู เท่านั้นแหละ 

ที่มา : 
http://www.dek-d.com/board/view/3369707/
บทความจาก ดร.วิริยะ ฤาชัยพาณิชย์@eduzones.com

แชร์เรื่องนี้:

เรื่องที่คุณอาจสนใจ