ตำนาน Lemuria ทวีปที่สาปสูญไปในห้วงมหาสมุทร

ผมเคยนั่งคิดเล่นๆ ว่ามนุษย์เรานั้นยังมีสิ่งที่ไม่รู้อยู่มากเหลือคณานับ ตั้งแต่อดีตกาลที่มนุษย์เฝ้าคนคว้าเรื่องต่างๆ ตั้งแต่เรื่องวิทยาศาสตร์ ไปจนถึงอวกาศอันไกลโพ้น ต่อให้ไม่ต้องถ่อไปไกลถึงอวกาศก็มีเรื่องที่เรายังไม่รู้อีกมากมายเกี่ยวกับโลกใบนี้ สังเกตได้จากการค้นพบสัตว์พันธุ์ใหม่อยู่เสมอ และใต้มหาสมุทรที่ลึกล้ำดำมืดนั้นก็กำความลับที่มนุษย์ยังค้นหาไม่พบไว้มากมาย รวมถึงทรัพยากรที่มีเพียงพอที่จะเลี้ยงดูมนุษย์ทั้งโลกไปได้อีกหลายพันปี ในวันนี้ผมมีเรื่องน่ารู้ของมหานครที่สาปสูญไปใต้ท้องทะเล เอาล่ะ เริ่มกันเลยดีกว่าครับ

Lemuria ทวีปที่สาปสูญไปนานกว่า 11,500 ปี
ถ้าพูดถึงชื่อ Lemuria หลายคนอาจจะไม่คุ้นหู แต่ถ้าบอกว่ามันคือทวีป Mu (อ่านว่ามิว หรือมูแล้วแต่สถานที่) คุณจะต้องร้องอ๋อ เพราะเราเกมเมอร์อย่างเราๆ เนี่ยจะได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของทวีปนี้บ่อยๆ ไม่ว่าจะในหนังสือการ์ตูนหรือเกมก็ตาม ความจริงแล้วยังไม่มีใครค้นพบทวีป Mu จริงๆ หรอกครับ แต่นักโบราณคดีได้ศึกษาเรื่องราวของทวีปนี้จากแผ่นบันทึก และศิลาจารึกมากมาย โดยตำแหน่งที่คาดการณ์ว่าทวีป Mu เคยตั้งอยู่ก็คือตอนเหนือของฮาวายไปจนเกือบถึงหมูเกาะอีสเตอร์ ที่มีรูปปั้นโมอายตั้งอยู่โดยไม่รู้ว่าหัวโมอายเหล่านี้มีไว้ใช้ทำอะไรกันแน่
ทวีป Lemuria หรือ Mu นั้นว่ากันว่าเป็นทวีปที่มีอารยธรรมอันเจริญก้าวหน้าจนเรียกได้ว่าเป็นมาตุภูมิของมวลมนุษย์เลยก็ว่าได้ จะเล่าถึงภาพรวมของทวีป Mu แบบสรุปย่อให้ฟังนะครับ ทวีป Mu เป็นพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์เป็นอย่างมาก พื้นหญ้าเขียวขจีปกคลุมไปทั่วท้องที่ราบและภูเขา มีแม่น้ำที่มีดอกบัวศักดิ์สิทธิ์บานสะพรั่ง ป่าไม้เต็มไปด้วยสัตว์ และช้างดึกดำบรรพ์อาศัยอยู่
ประชากรของทวีปนี้มีอยู่ 10 เผ่าพันธ์ แต่กลุ่มที่ดูดีที่สุดคือกลุ่มคนผิวขาว ผู้คนอาศัยอยู่รวมกันอย่างไร้ความป่าเถื่อน อาจเป็นเพราะว่าทุกคนมีความรู้แจ้ง ระดับจิตใจจึงสูงส่ง กษัตริย์ของพวกเขาถูกตั้งพระนามตามเทพเจ้าแห่งพระอาทิตย์ ซึ่งทุกพระองค์จะมีคำว่า "รา" นำหน้าเสมอ แต่ที่กษัตริย์ที่ปรากฏพระนามในบันทึกลาซา ผู้ซึ่งเป็นตัวแทนของพระผู้เป็นเจ้าในการสอนศาสนาก็คือ "รามู" แม้ว่าทวีป Mu จะมีผู้คนหลายชาติพันธุ์ แต่พวกเขานับถือซึ่งกันและกันไม่มีใครมีอำนาจเหนือกว่าใครเรียกได้ว่าเป็นนครที่ไร้การเบียดเบียนกันและกันอย่างแท้จริง
 นอกจากจะมีวิถีชีวิตอันน่าทึ่งแล้วชาว Mu ยังเป็นนักเดินเรือ และสถาปนิกที่ยอดเยี่ยม พวกเขาสร้างวิหาร อารามอันยิ่งใหญ่ ถนนของพวกเขานั้นว่ากันว่าทำอย่างแผ่นหินที่เรียบเสมอกันเอามาวางเรียงกันได้สนิทเรียกได้ว่าไม่มีต้นหญ้าต้นใดสามารถแทรกผุดขึ้นมางอกงามระหว่างร่องหินได้เลย
 
การล่มสลายของ Lemuria
อารยธรรมที่สูงส่งของ Lemuria นี้ถล่มสลายไปเพียงชั่วข้ามคืน จากบันทึกต่างๆ ทำให้นักวิชาการคาดเดาว่าอาจจะเกิดเพราะแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด และคลื่นซึนามิ ซึ่งประโยคที่ถอดความจากบันทึก และแผ่นจารึกต่างๆ ได้บรรยายเหตุการณ์ไว้ดังนี้
 
เมืองและสิ่งมีชีวิตถูกทำลายไปต่อหน้าต่อตา เสียงร้องไห้ อันเจ็บปวดทรมานของ ผุ้คนมากมายดังไปทั่วบริเวณ พวกเขาต่างหาที่หลบภัยตามวิหารและป้อมต่าง ๆ แต่ก็ต้องพบกับเปลวไฟ และกลุ่มควัน สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีในเครื่องแต่งกายที่หรูหรา ประดับประดาด้วยอัญมณีต่างเป็นร้องเป็นเสียงเดียว "มู ช่วยชีวิตพวกเราด้วย"
ดวงอาทิตย์แสดงตัวที่ขอบฟ้าภายใต้กลุ่มหมอกที่ปกคลุมผืนแผ่นดิน ดวงอาทิตย์ช่างดูราวกับลุกไฟสีแดงดวงใหญ่ ที่กำลังเผาผลาญด้วยความโกรธ เมื่อดวงอาทิตย์ได้ลับขอบผ้าไปแล้ว ความืดมิดจึงได้เข้าครอบงำ จะมีก็เพียงแต่แสงไฟที่มาจากแสงวูบวาบ ของสายฟ้า อันดัังกึกก้อง แผ่นดินผืนนี้ก็ถึงวาระที่จะจมดิ่งลงไปเรื่อย ๆ ลงไปสู่ปากทางแห่งนรกหรือถังแห่งไฟ ขณะที่แผ่นดินที่แหลกสลายจมลงสู่ห้วงเหวแห่งไฟนั้น เปลวไฟได้ ลุกล้อมรอบและหุ้มห่อแผ่นดินไว้ เปลวไฟกำลังทวงสิทธิ์กับเหยื่อของมัน ซึ่งก็คือ ดินแดนมู และประชากรของเธอกว่า 64,000,000 คน ที่ต้องสังเวยชีวิตให้กับไฟนี้ ขณะที่มู จม ลงสู่อ่าวแห่งไฟนั้น พลังอำนาจ อีกอย่างหนึ่งก็ได้เข้ามาซ้ำเติม นั่นก็คือ ผืนน้ำกว่า 80,000,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งเข้าถาโถมไปทั่วบริเวณ น้ำและไฟพบกันตรงบริเวณที่เคยเป็นศูนย์กลางของแผ่นดิน และที่ตรงนั้นเองที่เกิดการเดือดพล่าน
 
และนี่คือจุดสิ้นจุดตำนานที่จมหายไปใต้ท้องทะเลลึก แต่ผมเชื่อเหลือเกินว่าวันหนึ่งในอนาคตมนุษยชาติจะต้องค้นพบทวีปอันสาบสูญนี้อย่างแน่นอน ความจริงแล้วในสัปดาห์นี้ผมตั้งใจจะเขียนทั้ง Mu และ Atlantis แต่ข้อมูลที่ค้นมาได้มีมากมายเหลือเกิน เพราะฉะนั้นสัปดาห์หน้าเตรียมพบกับ Atlantis เมืองที่ถูกมหาเทพสาปแช่งแน่นอนครับ
 
ขอบพระคุณข้อมูลจาก : http://www.dhammachak.net/board/viewtopic.php?t=29

คำที่เกี่ยวข้อง

สมัครรับข่าว OS

คุณอาจสนใจเรื่องนี้