One Piece Film Red คือหมุดหมายสำคัญของทั้งแฟนๆ รวมไปถึงตัวซีรีส์เอง เพราะมันคือภาคเดอะมูฟวี่ที่มีขึ้นเพื่อการเฉลิมฉลอง 25 ปีของ One Piece และนอกจากนี้มันยังถูกวางมาเพื่ออารัมภบทสู่่ช่วงสุดท้ายของมังงะ ถึงแม้ว่าเรื่องราวในหนังจะไม่ได้คาบเกี่ยวกับในมังงะก็ตาม
จึงไม่แปลกที่มันจะถูกคาดหวังอย่างสูงถึงคุณภาพและความสนุกของเนื้องาน รวมไปถึงชาวไทยที่รอบนี้ต้องลุ้นเรื่องพากย์ไทยเข้ามาด้วย เพราะคราวที่แล้วตัวงานโดนถล่มกันอย่างหนักเลยทีเดียว ทว่าอย่างน้อยๆ ผมก็สามารถบอกได้ว่าพากย์ไทยนั้นงานดีไม่แย่เลย แม้ว่าเนื้อเรื่องมันดูเบาบาง ตรรกะบางอย่างจะดูแปลกๆ และมีปัญหา แต่ท้ายที่สุด One Piece Film Red ก็เป็นภาพยนตร์ที่แฟนๆ มาดูเอาบันเทิงได้อย่างไม่เคอะเขิน
***บทความนี้ไม่มีสปอยล์
One Piece Film Red เล่าเรื่องของอุตะสาวสวยไอดอลผู้เป็นลูกสาวของแชงค์ที่กำลังเปิดคอนเสิร์ตสุดยิ่งใหญ่ โดยที่กลุ่มโจรสลัดหมวกฟางก็เข้าไปร่วมชมและร่วมเชียร์ด้วย โดยที่ไม่รับรู้กันเลยว่าสถานที่จัดคอนเสิร์ตสุดยิ่งใหญ่นั้นกำลังจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น
ก่อนอื่นเลย ในแง่ของเนื้อเรื่องนั้นผมรู้สึกว่าภาคนี้พยายามจะเล่าให้ซับซ้อนและดูมีสตอรี่มากกว่าภาคอื่นๆ โดยที่กะว่าต้องเอาเพลงมาเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อน เรียกว่าเล่นท่ายากมากขึ้น ให้ดูเทคนิคแพรวพราวมากขึ้น แต่อาจจะเพราะผู้กำกับไม่สามารถเล่าเรื่องได้อย่างลื่นไหลมีสมดุลย์ผนวกกับตัวละครที่เยอะแยะเอามากๆ เกลี่ยบทยังไงก็ไม่เท่าเทียมแน่นอน ทุกอย่างมันเลยออกมาครึ่งๆ กลางๆ ไปหมด เสมือนว่ามีความพยายามแต่ยังอ่อนหัดอะไรอย่างงั้น
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นสิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับก็คือเพลงของ ADO ที่ใส่เข้ามาในเรื่องนั้นมีจังหวะที่ดี เพลงก็ดี หลายๆ ครั้งก็ช่วยเพิ่มความน่าตื่นตาตื่นใจ หรือขับเคลื่อนเรื่องราวได้อย่างยอดเยี่ยม ทว่าแม้จะเยี่ยมขนาดนี้ เราก็รู้สึกว่ามันยังคงเป็นดาบสองคม เพราะซีนอุตะมาเมื่อไหร่ชีก็แทบจะร้องเพลงยันเต จนโดนแซวว่าภาคนี้มันมิวสิคัลเหรอ ใครที่ไม่ชอบการเดินเรื่องทรงนี้อาจเกลียดไปเลยก็เป็นได้
งานภาพมีความแกว่งในแง่ของคุณภาพพอสมควร ตัวเรื่องใช้การสลับตัดระหว่าง 2D และ 3D ซึ่งทั้ง 2 รูปแบบต่างก็มีช่วงเวลาที่ดีและหายนะกันทั้งคู่แบบว่าขึ้นสุดลงสุด ตอนสวยก็อลังการขนลุกแบบกะเอาตาย แต่บทจะเผาก็เหมือนคนหมดแรงแรงทำเสียอย่างนั้น แต่หากให้พูดโดยรวมๆ ก็ยังจัดอยู่ในระดับไม่แย่
นับรวมไปถึงแอคชั่นซีนที่อยู่ในระดับ “ก็โอเค” คือเพราะตัวละครมันเยอะก็เลยต้องแย่งซีนกันปล่อยของ อารมณ์แบบแต่ละคนมาเพื่อประกาศชื่อท่าแล้วก็ตู้มเข้าให้ บางตัวละครก็คือมีแอคชั่น 3 ซีนก็แทบจะเหมือนเดิมเป๊ะแต่เปลี่ยนมุมเฉยๆ ในแง่หนึ่งตัวเป็นสิบโผล่มาปล่อยไม้ตายกันไม่พักมันก็ดูอลังการดี แต่ส่วนตัวแล้วรู้สึกชอบที่จะให้ไฟต์ซีนมีรายละเอียดต่อไฟต์มากกว่านี้เช่นในไยบะหรือจูจุตสึที่เรารู้สึกว่าพวกทึ่สู้กันอยู่เนี่ยมีฝีมือกันจริงๆ ถึงอย่างนั้นก็ยังพอเข้าใจว่าทำไมมันจึงออกมาในรูปแบบนี้
มาถึงส่วนที่คนกังวลมากที่สุด “พากย์ไทย” ในแง่ความชอบมันอาจจะปัจเจกไปแต่บอกได้เลยว่าไม่ต้องห่วง ไม่มีอะไรให้กังวล ไม่มีเรื่องแย่ใดๆ ดูได้ไม่ขัดเขิน แต่ในฐานะของผมซึ่งเป็นคนที่ดูพากย์ไทยบ่อยมาก และเป็นแฟนคลับของนักพากย์หลายๆ คน ผมค่อนข้างโฟกัสเป็นพิเศษกับพากย์ไทย เช่นเสียงของโซโรที่ไม่ใช่อาไกวัลแล้ว หรือเสียงของน้องแป้ง Zbing Z. กับการรับบทหนักในการพากย์เป็นอุตะ ซึ่งถือเป็นตัวเอกที่สุดของเรื่องราวนี้
บอกตรงๆ ว่าผมทั้งเซอร์ไพรซ์ตื่นเต้นแต่ก็เป็นกังวลไปพร้อมกัน ทว่าหลังดูจบผมต้องยอมรับว่ามีแต่คำชื่นชมให้จริงๆ สำหรับน้องแป้งที่เอาอยู่มากๆ มีคิลเลอร์ช็อตอยู่ซีนที่แป้งทำได้เหนือคาดมากๆ จนอยากลุกขึ้นปรบมือเดี๋ยวนั้น อาจจะหาว่าผมอวยเกินไปก็อาจจะใช่ แต่มันคือฟีลลิ่งจริงๆ ที่ผมรู้สึก และคิดว่าในด้านงานพากย์แป้งมีที่ทางอีกเยอะเลยถ้าจะลุยจริงจัง ดังนั้นไม่ต้องห่วงอะไรพากย์ไทย ไปดูเถอะ หรือจะซาวด์แทรคก็ได้ไม่ว่ากัน ขอแค่ดูของถูกลิขสิทธิ์ก็พอ
โดยรวมแล้ว One Piece Film Red คืออีกหนึ่งมูฟวี่ที่แฟนๆ ไม่ควรพลาด จังหวะเดินเรื่องหรือวิธีการนำเสนออาจแปลกไปบ้าง งานเผาก็เห็นเรื่อยๆ แต่จุดที่ทำได้ดีก็อยากจะชาบูซะเหลือเกิน โดยเฉพาะองค์สุดท้ายที่ทั้งนัวร์ทั้งเดือด ดูแทบไม่รู้เรื่องแต่ก็ยังอดขนลุกไม่ได้ และอย่าลืมรับชมฉากเครดิตกับสเน่ห์แบบ One Piece ที่จะมีภาพนิ่งสวยๆ ให้ดูว่าตัวละครแต่ละครในจักรวาลนั้นกำลังทำอะไรกันอยู่บ้าง พิสูจน์เรื่องราวของไอดอลและโจรสลัดได้แล้ววันนี้ในโรงภาพยนตร์ครับ
ขอบคุณ Major Cineplex ที่สนับสนุนการชมภาพยนตร์ในโรงครั้งนี้