Dragon Ball Super: Super Hero ภาพยนตร์อนิเมะภาคล่าสุดของซีรีส์ Dragon Ball ที่เพิ่งฉายในญี่ปุ่นไปเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2022 ที่ผ่านมา ซึ่งภาคนี้ก็นับว่าเป็นอีกภาคที่แฟน ๆ ค่อนข้างคาดหวังเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะแฟนคลับของ Gohan และ Piccolo ที่ภาคนี้พวกเขาได้รับบทเป็นตัวละครนำหลัก แน่นอนว่าเสียงตอบรับในวันเปิดตัวก็ออกมาในทางที่ดีถึงดีมาก
เดอะมูฟวี่ Super Hero เป็นมูฟวี่ลำดับที่ 2 ของซีรีส์ Dragon Ball Super ที่ดำเนินเนื้อเรื่องต่อจากภาคที่แล้วอย่าง Dragon Ball Super: Broly โดยเรื่องราวจะเกิดขึ้นบนโลกที่กองทัพ Red Ribbon กำลังจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาเพื่อครองโลกอีกครั้ง ทำให้ Piccolo ที่รู้ถึงภัยอันตรายนั้นต้องรับทำอะไรสักอย่างเพื่อหยุดยั้งกองทัพ Red Ribbon และนักสู้สุดแกร่งบนโลกที่พอจะหยุดได้นั้นก็คือ Son Gohan ลูกชายของ Son Goku นั่นเอง
ฟีลลิ่งเหมือนคัตซีนเกมแต่มีความเป็นอนิเมะมากกว่า
สำหรับเรื่องวิชวลของภาคนี้ มีการเปลี่ยนจากสไตล์อนิเมะ 2D มาเป็นแบบ 3D ถึงแม้ว่าจะมีความรู้สึกเหมือนกับในดูคัตซีนของเกม แต่เมื่อได้ชมจริง ๆ แล้วนั้นตัวภาพยนตร์กลับให้ความรู้สึกว่ามันเป็น “ภาพยนตร์อนิเมะ” มากกว่าที่รู้สึกว่าเป็นคัตซีนจากเกม เนื่องจากมุมกล้องและลักษณะของภาพนั้นยังคงเป็นสไตล์ 2D เพียงแต่มีการเก็บรายละเอียดและทำภาพเป็น 3D เท่านั้นเอง ตอนชมช่วงแรก ๆ อาจจะยังรู้สึกเหมือนเกมอยู่ แต่เมื่อนั่งชมไปสักพักเราจะรู้สึกว่าตัวมูฟวี่ยังคงความเป็นอนิเมะ Dragon Ball ที่เราคุ้นเคยได้เป็นอย่างดี
ผสมผสานอย่างลงตัวระหว่าง Slice of Life และ Battle!
ถ้าเทียบกับ Dragon Ball Super: Broly ภาคที่แล้ว แม้ว่าภาคนี้จะเน้นเนื้อเรื่องที่มีกลิ่นอาย Slice of Life มากขึ้น แต่เรื่องฉากต่อสู้ก็ยังคงความดุเดือดของความเป็น Dragon Ball ได้ดี ซึ่งข้อดีของการทำเป็น 3D นั้นคือการที่ทำให้เราไม่เห็น “ภาพเผา” จากฉากแอ็กชั่นได้ นอกจากนี้ยังช่วยให้ฉากต่อสู้มีความลื่นไหลและดุดันไม่แพ้อนิเมชั่นแบบ 2D ด้วย แม้ว่าจะสู้ได้ไม่เดือดเท่าภาค Broly แต่ตัวมูฟวี่กลับทำได้ดีกว่าในภาพรวมเนื่องจากมี “เนื้อเรื่อง” ที่ทำให้รู้สึกว่ามันพอดิบพอดีและลงตัวมากกว่าการเน้นอย่างใดอย่างหนึ่ง
เสริมเรื่องราวตัวละครหลักเก่าให้เด่นขึ้น
อย่างที่ทราบกันดีว่าปกติแล้ว Dragon Ball จะมีการโฟกัสเนื้อเรื่องไปที่ Goku ไม่ก็ Vegeta เป็นส่วนใหญ่ แต่ว่าในภาคนี้พวกเขาเหล่านั้นเป็นเพียงตัวละครเสริม และเปลี่ยนตัวดำเนินเรื่องหลักเป็น Piccolo ที่อยู่บนโลกแทน ซึ่งในภาคนี้เราจะได้เห็นมุมมองใหม่ ๆ ที่ไม่เคยเห็นของ Piccolo ไม่ว่าจะเป็นการใช้ชีวิตประจำวัน ลักษณะนิสัยที่ไม่คาดไม่ถึง และความสัมพันธ์กับตัวละครลูกศิษย์สุดน่ารักอย่าง Pan ผู้เป็นลูกสาวของ Gohan มั่นใจได้เลยว่าหากชมภาคนี้จบแล้ว คุณจะรู้สึกรัก Piccolo มากขึ้นแน่นอน
ไม่ใช่แค่ Piccolo เพียงคนเดียวเท่านั้น เรายังได้เห็นการพัฒนาของตัวละครของ Gohan ที่หลายคนเชียร์ให้มีบทต่อสู้เด่น ๆ มานาน ภาคนี้บอกเลยว่าคุณจะได้สัมผัสการแอ็กชั่นของ Gohan อย่างเต็มอิ่มและได้สมหวังกับสิ่งที่รอคอย และก็ไม่ใช่แค่ Gohan เพราะ Piccolo เองก็มีการพัฒนาที่เกินคาดด้วยเช่นกัน
มนุษย์ดัดแปลงพร้อมกับนักพากย์มากแฟนคลับ
ตัวร้ายในภาคนี้คือกองทัพ Red Ribbon ที่เคยมีบทบาทในช่วงบท Goku ตอนเด็ก และช่วงบทมนุษย์ดัดแปลง/Cell จากอนิเมะ Dragon Ball Z ถึงจะมีข้อสงสัยก่อนชมว่าในขณะที่ระดับพลังของซีรีส์ Dragon Ball มันไปไกลมาก แล้วการสร้างมนุษย์ดัดแปลงมันจะไล่ตามเหล่านักสู้ระดับจักรวาลได้หรือ? แต่พอดูจริง ๆ แล้วเรากลับรู้สึกรับได้กับสิ่งที่เรื่องเล่ามาและรู้สึกเข้าใจว่าทำไมมนุษย์ดัดแปลงตัวใหม่อย่าง Gamma หมายเลข 1 กับ หมายเลข 2 ถึงพอฟัดพอเหวี่ยงกับ Piccolo และ Gohan ได้
ที่สำคัญคือนักพากย์ของเหล่าตัวละคร Gamma นั้นยังเป็นนักพากย์มากแฟนคลับอย่างคุณ Kamiya Hiroshi กับคุณ Miyano Mamoru แม้จะดูเหมือนเป็นตัวร้ายประกอบที่ไม่น่าจะมีอะไรจดจำ แต่บอกเลยว่าหลังชมภาคนี้จบแล้วคุณจะเปลี่ยนความคิดทันที ถึงจะเป็นระยะเวลาสั้น ๆ แต่พวกเขาก็สามารถสร้างความประทับใจให้ผู้ชมได้ในตอนท้าย ถือว่าเป็นจุดดีของมูฟวี่ภาคนี้เลยทีเดียว
เพลงประกอบที่ยกระดับขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง!
สิ่งที่น่าชมสำหรับมูฟวี่ภาคนี้อีกอย่างคือเพลงประกอบที่ยกระดับจากฟีลลิ่งเพลงประกอบอนิเมชั่นเป็นเพลงประกอบสไตล์ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ แม้ว่าตัวเนื้อเรื่องจะมีความเป็นอนิเมะ แต่เพลงประกอบฉากก็มีความเข้ากันอย่างน่าทึ่ง อีกทั้งยังทำให้รู้สึกว่าตัวอนิเมะมีการยกระดับขึ้นไปอีกระดับจากเพลงประกอบด้วย โดยเฉพาะเพลงประกอบในฉากเซอร์ไพรส์ของภาคนี้และช่วงไคลแม็กซ์ที่ทำให้ขนลุกซู่จนอยากจะร้องกรี๊ดให้โลกแตก
เชื่อแล้วว่าเป็นผลงานทุ่มสุดตัวของอาจารย์ Toriyama
หลังจากที่อาจารย์ Toriyama Akira เริ่มเขียนบทให้อนิเมะตั้งแต่มูฟวี่ DBZ Resurrection of F, DBS Broly และ DBS Super Hero แต่ว่าภาคนี้เราจะได้เห็นถึงความตั้งใจของอาจารย์ Toriyama อย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นการอธิบายเรื่องราว การใช้คำพูดของตัวละคร และการเกลี่ยบทให้ทุกตัวละครมีความน่าจดจำ รวมถึงมุกสไตล์ Toriyama ที่ทำให้เรายิ้มมุมปากได้เป็นระยะ ๆ
ซึ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการใส่รายละเอียดต่าง ๆ เข้ามา ทั้งการอ้างอิงจากอนิเมะ อีสเตอร์เอ้กจากผลงานที่ผ่านมาของอาจารย์ Toriyama ในมูฟวี่เรื่องนี้มันมีการใส่เข้ามา “เยอะมาก” จนไม่หวาดไม่ไหว มันปรากฎออกมาแทบทุกฉาก จนทำให้บางครั้งถึงกับเผลอหลุดโฟกัสไปเลยว่าตัวละครหลักกำลังทำอะไรอยู่ แต่ก็มีหลายฉากที่เห็นครั้งแรกแล้วเรารู้ได้ทันทีว่า “มันมาจากฉากนี้นี่หว่า!”
สำหรับแฟนคลับ Dragon Ball และอาจารย์ Toriyama แล้ว นี่คือมูฟวี่ทรงคุณค่าและเป็นภาพยนตร์ซีรีส์ Dragon Ball ที่ดีที่สุดเท่าที่ผ่านมา หากคุณเป็นแฟนคลับตัวจริงและอยากเก็บรายละเอียด คุณจะไม่มีทางดูมันแค่รอบเดียวแน่นอน!
“อยากให้เข้าไทยเร็ว ๆ จัง จะซ้ำสัก 10 รอบเลย!”
TrunksTH