รีวิวเกม Star Ocean: The Divine Force – 6 ปีที่หายไป ควรทำได้ดีกว่านี้

Star Ocean

เกมตระกูล Star Ocean เป็นซีรีส์เกมแนว Action RPG จาก tri-Ace ที่มีอายุกว่า 26 ปีเข้าไปแล้ว กระทั่งจวบจนปัจจุบัน ซีรีส์ดังกล่าวก็ยังคงจุดเด่นตรงระบบความสัมพันธ์ของตัวละครที่เรียกว่า “Private Actions” ที่สามารถทำให้ผู้เล่นพบกับฉากจบได้หลายแบบ โดยระหว่างการดำเนินเรื่อง ผู้เล่นสามารถจับคู่ตัวเอกกับตัวละครอื่นได้ทั้งแบบมิตรภาพหรือคู่รักเพื่อให้เกิดฉากจบที่แตกต่างกัน ผ่านธีมที่เป็นการเดินทางบนห้วงอวกาศแบบแนวไซไฟ และผสมผสานความเป็นโลกแฟนตาซีส่วนนึง ซึ่ง The Divine Force ภาคที่ทีมงานรีวิวมาให้เพื่อน ๆ อ่านนี้ก็นับเป็นภาคหลักภาคที่ 6 ซีรีส์พอดี ย่างก้าวอันแสนยาวไกลจะถูกใจผู้เล่นทั้งหน้าเก่าและใหม่หรือไม่ รีวิวนี้น่าจะพอช่วยประกอบการพิจารณาได้ไม่มากไม่น้อยครับ

แพลตฟอร์ม: PS5, PS4, Xbox Series X|S, Xbox One, PC (ทีมงานรีวิวจากเวอร์ชั่น PS5)
ผู้พัฒนา: tri-Ace
แนวเกม: แอ๊กชั่น/RPG
วางจำหน่าย: 27 ตุลาคม 2022

เนื้อเรื่องเบื้องต้น

เรื่องราวของเกมจะเกิดขึ้นประมาณ 200 ปีก่อนเหตุการณ์ในเกม Star Ocean 3: Till the End of Time ณ เวลานั้น Ray (Raymond Lawrence) กับตันยานอวกาศของสหพันธ์ Pangalactic กองกำลังแห่งสันติภาพในกาแลคซีได้ถูกโจมตีโดยกองกำลังฝ่ายตรงข้าม ตัวเขาและลูกเรือต้องสละยานฉุกเฉินและขึ้นยานกู้ชีพไปจอดบนดาว Aster IV ต่อมาเขาก็ได้รับการช่วยชีวิตจากเจ้าหญิง Laeticia แห่งอาณาจักร Aucerius ทางเจ้าหญิงเกิดรู้สึกสนใจในความสามารถของชาวต่างดาวอย่าง Ray จึงขอให้เขาช่วยเหลือประเทศของนางในการต่อสู้กับอาณาจักร Vey’l พร้อมเสนอข้อแลกเปลี่ยนด้วยการช่วยตามหาเพื่อนของ Ray ที่ลงยานกู้ชีพไปยังจุดอื่นของดาวให้ ทิ้งให้ Ray เกิดความสงสัยว่าเหตุใดเทคโนโลยีของ Vey’l ถึงล้ำยุคเกินกว่าจะเป็นอารยธรรมทั่วไปบนดาวดวงนี้

ระบบการต่อสู้และเกมเพลย์

สำหรับผู้ที่ยังสงสัยระบบการต่อสู้ของเกมว่าเป็นอย่างไรนั้น ภาคนี้จะเป็นระบบกึ่งแอ๊กชั่นที่บังคับได้ง่าย อย่างที่รู้กันว่าเกมแนว JRPG ยุคใหม่จะพยายามทำให้เกมมีความเป็นสากลขึ้น เข้าถึงผู้เล่นทั่วไปได้ง่ายขึ้น และเมื่อเทียบกับภาค 5 ถือว่าเกมมีการปรับปรุงขึ้นมากโดยเฉพาะความหลายหลายในการโจมตี โดยภาค The Divine Force จะให้ผู้เล่นจะเลือกติดตั้งท่าโจมตีผูกกับ 3 ปุ่ม ซึ่งจะตั้งเป็นท่าคอมโบที่สามารถเลือกท่าโจมตีได้ดั่งใจ และไม่จำเป็นว่าจะต้องเลือกเป็นท่าโจมตีก็ได้ เพราะท่าสนับสนุนต่าง ๆ ก็สามารถนำมาติดตั้งในคอมโบได้ทั้งสิ้น นอกจากนั้นยังสามารถติดตั้งท่าได้อีก 3 ท่า เรียกใช้ได้ด้วยการกดปุ่มค้าง (3 ท่าจากการกดปุ่มทีเดียว และอีก 3 ท่าจากการกดปุ่มค้าง) ดังนั้นผู้เล่นจึงสามารถออกท่าได้หลากหลายขึ้น เลือกใช้ท่าได้โดยอิงตามสถาณการณ์ ไม่จำเป็นต้องใช้ท่าซ้ำ ๆ กันไม่กี่ท่าแบบภาคก่อน และที่สำคัญคือ การใช้ท่าของภาคนี้จะไม่มี MP แล้ว ทุกท่ารวมทั้งท่าโจมตีพื้นฐานจะเปลี่ยนมาใช้เกจ AP แทน ถึงแม้ว่า AP จะฟื้นเองได้ตลอดในการต่อสู้ แต่ถึงกระนั้นผู้เล่นก็ต้องคิดคำนวณในเรื่องการติดตั้งท่าคอมโบด้วย เพราะว่าเราจะติดตั้งแต่ท่าที่ใช้ AP สูงไม่ได้

ผู้ที่เพิ่งเริ่มเล่นอาจสงสัยถึงจุดสำคัญของเกมตั้งแต่เริ่มเลย นั่นก็คือผู้เล่นจำเป็นต้องเลือกว่าจะให้ Ray หรือ Laeticia เป็นตัวละครหลัก ทั้งที่ตอนเริ่มเกมทั้งคู่ก็จะอยู่ในปาร์ตี้อยู่แล้ว แต่นั่นเป็นเพราะว่าในระหว่างเล่นจะมีบางช่วงที่พวกเขาต้องแยกกันเดินทาง ซึ่งในตอนนั้นผู้เล่นจะได้เห็นแค่เหตุการณ์ในฝั่งของตัวละครที่เราเลือก และจะมีประเด็นเล็ก ๆ ที่ผู้เล่นจะไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น เนื่องจากมีเหตุการณ์ของตัวละครอีกฝั่งที่เราจะไม่สามารถรับรู้เกิดขึ้นด้วยนั่นเอง ด้วยเหตุนี้ ถ้าเราต้องการจะเข้าใจเนื้อเรื่องของเกมแบบสมบูรณ์จริง ๆ จะต้องเล่นเกมให้จบ 2 รอบครับ

นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีตัวละครอีก 2 คนที่เราจะดึงเข้ามาเป็นพวกร่วมปาร์ตี้ได้เฉพาะกรณีที่เล่นเป็น Ray หรือ Laeticia ด้วย โดย Ray กับ Laeticia จะมีฉากจบหลายแบบกับตัวละครคนใดคนหนึ่งในปาร์ตี้ด้วยเช่นกัน จากที่กล่าวมาเพื่อน ๆ น่าจะพอเห็นภาพแล้วว่าทำไมถึงต้องเล่นจบอย่างน้อย 2 รอบหากอยากเล่นแบบสมบูรณ์ และก็น่าเสียดายที่เกมนี้ไม่มี New Game+ ให้หลังจบเกม เท่ากับว่าถ้าจะจบอีกรอบก็ต้องเริ่มเล่นใหม่จริง ๆ โดยไม่มีการถ่ายโอนอะไรจากการเล่นจบรอบแรกเลย ซึ่งเสียเวลาชีวิตมาก

ตัวละครอื่น ๆ นอกเหนือจาก Ray และ Laeticia ที่เราสามารถบังคับได้จะมีเกือบ 10 คนซึ่งเราจะจัดเข้าร่วมปาร์ตี้ได้ทีละ 4 คนเท่านั้น แม้ว่าจะน้อยกว่าภาคที่แล้วแต่ก็สามารถเปลี่ยนสลับตัวละครที่ใช้อยู่กับตัวละครสำรองได้ตลอดเวลา บางครั้งเราอาจจะได้ตัวละครบางคนมาเป็นพวกอย่างกะทันหัน และผู้เล่นจะได้รับรู้ถึงนิสัยของตัวละครแต่ละตัวผ่านบทสนทนา ซึ่งบทสนทนาเหล่านี้นอกจากจะทำให้ผู้เล่นเข้าใจตัวละครต่าง ๆ ได้ดีขึ้นแล้ว ยังทำให้บรรยากาศในเกมดูมีชีวิตชีวาขึ้นไม่น้อยเลย แต่ในทางกลับกันก็ยังแอบขัดใจอยู่ไม่น้อย เพราะในระหว่างที่ตัวละครกำลังคุยกัน ผู้เล่นจะกดเปิดเมนูอะไรไม่ได้เลย ในบางครั้งเราอยากจะใช้ไอเทมฟื้นพลัง หรืออยากจะรีบอัปสกิลใหม่ ๆ หลังจากเลเวลอัปแต่ก็ทำไม่ได้ ต้องรอให้ตัวละครคุยกันจบเสียก่อน ทั้งที่จริงควรจะทำให้หยุดบทสนทนาไว้ชั่วคราวได้ด้วยซ้ำ

ดาว Aster IV จะเป็นโลเคชั่นหลักของภาค The Divine Force ในส่วนของการเดินทางจะใช้การเดินเท้าเป็นหลัก แม้ภูมิประเทศจะค่อนข้างกว้างใหญ่ แต่เส้นทางส่วนใหญ่จะพื้นที่ราบเรียบไม่มีความซับซ้อนมากนัก จึงไม่ต้องกังวลว่าจะหลงทางหรือค้นหาหีบสมบัติยาก นอกจากนี้ยังสามารถใช้ Fast Travel ในการเดินทางไปยังจุดสำคัญที่เคยไปมาแล้วได้ ขณะเดียวกัน การเดินทางระหว่างดวงดาวในฐานะที่เป็นเกม Star Ocean นั้นก็อาจจะไม่ตรงตามที่คาดหวังนัก เพราะในช่วงท้ายเราจะได้ออกอวกาศอยู่บ้างแต่จะเป็นเหตุการณ์แบบตัดบทที่ไม่ยาวนัก สุดท้ายแล้วก็ยังคงใช้ Aster IV เป็นสถานที่หลักอยู่ดี

DUMA เป็นหุ่นโดรนคู่หูของ Ray และเป็นหนึ่งในอุปกรณ์อำนวยความสะดวกหลักในเกม โดยเราสามารถใช้ DUMA เพื่อบินไปเก็บของ บินขึ้นเขา หรือบินข้ามเหวได้ และนอกจากหีบที่ซ่อนอยู่ตามจุดสูง ๆ ในฉากแล้ว ตลอดทั้งเกมนี้เราจะต้องบินเก็บพวกคริสตัลที่ลอยอยู่กลางอากาศเพื่อนำมาใช้อัปความสามารถของ DUMA ด้วย พื้นที่มากมายที่มีความลับ หีบสมบัติ เควสต์ย่อย การออกนอกเส้นทางหลักเพื่อค้นหาของเหล่านี้ DUMA จะช่วยให้เราพุ่งทะยานไปหาได้เสมอ

ทางด้านการต่อสู้ ผู้เล่นสามารถใช้ DUMA ช่วยโจมตีหรือก่อกวนศัตรูได้หลายรูปแบบ เรียกได้ว่าเป็นกุญแจสำคัญในการต่อสู้ของฝ่ายเราในภาคนี้เลย ส่วนใครที่กังวลว่าตอนเล่นเป็น Laeticia จะลำบากก็หายห่วงได้เลย เพราะ Ray จะสั่งให้ DUMA อยู่กับ Laeticia ในตอนที่เขาแยกทางไปเสมอ ดังนั้นผู้เล่นก็จะใช้งานระบบนี้ได้ตลอดเกมนั่นเอง

เมนูอินเตอร์เฟซของเกมคือหนึ่งในความเลวร้ายที่พบเจอได้ในภาคนี้ เอาเป็นว่าครั้งแรกที่เปิดเมนูขึ้นมาเพื่อจะอัปตัวละครเราก็รู้สึกว่าทำไมมันดูมืด ดูยากจัง ในหน้าจอสเตตัสเราจะพบกับจอดำ ๆ ที่ไร้ชีวิตชีวา และจุดที่ย่ำแย่ที่สุดคือขนาดตัวอักษร นี่เป็นเกมที่ผู้เล่นต้องปวดตาเพื่อเพ่งมากที่สุดในการอ่านข้อความอธิบายการใช้งานสกิลหรือไอเทม นอกเหนือจากนั้นการจัดวางตำแหน่งของตารางยังรู้สึกได้ว่าไม่สมมาตรกัน การจัดการกับไอเทมที่มีหรือตารางการเดินสกิลตัวละคร ทุกอย่างล้วนดูและทำได้ลำบาก ไม่เป็นมิตรกับผู้ใช้เลย และไม่เข้าใจด้วยว่าทีมผู้พัฒนาโอเคกับดีไซน์แบบนี้ตอนตรวจคุณภาพเกมได้อย่างไร

ตัวละครแต่ละตัวในเกมนี้จะมีพรสวรรค์ในการสร้างไอเทม เช่น Ray จะมีความสามารถของช่างตีเหล็กที่ใช้ในการสร้างอาวุธ ส่วน Laeticia จะมีทักษะในการผสมยา ซึ่งทั้งหมดนี้จำเป็นต้องผ่านการทำเควสต์เสริม ซึ่งแม้ว่าที่จริงต่อให้เราไม่ต้องทำก็ยังหาไอเทมมาใช้งานได้เพียงพออยู่แล้วจากการใช้เงินซื้อ แต่วิธีสร้างของก็มีความเรียบง่ายและได้อารมณ์สนุกสนานกว่า โดยเราจะมีโอกาสได้ไอเทมแบบแฝงคุณสมบัติจากการสร้างเอง ซึ่งมันจะมีความสามารถพิเศษเฉพาะตัวกว่าของที่ขายในร้านค้า แต่เหนือสิ่งอื่นใดเลยคือมันช่วยให้ผู้เล่นได้สนุกกับการค้นหาสิ่งใหม่ ๆ เพิ่มจากเนื้อเรื่องหลักด้วย

กราฟิก

ว่ากันตามตรง ถ้าเทียบกับภาค 5 มันก็ดูสวยขึ้นนะครับ แต่เอาเข้าจริง ๆ มันก็แค่เล็กน้อยและห่างจากภาคปัจจุบันตั้ง 6 ปีแล้ว ดังนั้น The Divine Force ก็ควรจะทำได้ดีกว่านี้แบบก้าวกระโดดหน่อย ฉากที่กว้างใหญ่แต่พื้นผิวดูเรียบโล่ง ลายละเอียดก็น้อยนิด ขณะที่ศัตรูหลายตัวก็ดูแบนราบไร้ซึ่งเสน่ห์ แม้กระทั่งศัตรูระดับบอสของเกมยังทำให้เราอดคิดไม่ได้ว่าดีไซน์ดูเหมือนเป็นเกมอินดี้ทุนต่ำไม่มีผิด แถมจุดที่น่าน่าผิดหวังที่สุดคือโมเดลตัวละครของเกมนี้ค่อนข้างแข็งทื่อ ดูไร้ชีวิตชีวา เมื่อเทียบกับภาพวาดของตัวละครที่อยู่บนปกเกมแล้วยังดูเป็นภาพนิ่งที่ดูดีและมีชีวิตชีวากว่าเสียอีก น่าเสียดายที่ไม่มีการใช้ภาพเหล่านั้นในเกมเลย แม้แต่เมนูสเตตัสก็ยังเป็น 3D ที่ดูไร้อารมณ์สิ้นดี ขนาดตัวละครบางตัวที่เป็นแอนดรอยด์สาว แต่ลองให้ใครที่ผ่านไปผ่านมามามองดูก็คิดว่าเหมือนหุ่นกระบอกกันทั้งนั้น

สรุป

The Divine Force ไม่ใช่เกมที่โดดเด่นมากนักเมื่อเทียบกับเกม JRPG อื่น ๆ ในยุคนี้ แต่อย่างไรเสีย นี่ก็ยังเป็นการกลับมาของ Star Ocean ที่พัฒนาด้านระบบการต่อสู้อย่างชัดเจน ให้อิสระและความพลิกแพลงมากกว่าที่เคย เกมเล่นได้ง่ายในส่วนของ Action RPG และในส่วนของการดำเนินเรื่องก็มีจุดนำทางให้ผู้เล่นตลอดเกม สามารถดำเนินเนื้อเรื่องหลักจบได้ภายใน 30 ชั่วโมง และยังมีจุดดึงดูดให้เล่นตัวละครหลักอีกตัวเป็นรอบที่สองด้วย

แม้ความสนุกของการบินสำรวจด้วย DUMA จะเป็นจุดเด่นของเกม แต่โดยรวมแล้วในส่วนของเนื้อหาหลักไม่ได้ทำให้เราประทับใจเท่าไหร่นัก ส่วนข้อเสียของเกมในมุมด้านกราฟิกและเมนูอินเตอร์เฟซอาจจะทำให้เกมดูแย่ไปเลยสำหรับคนที่ซีเรียสประเด็นนี้ ถ้าใครคิดว่าพอจะมองข้ามด้านแย่ ๆ ไปและให้โอกาสกับ Star Ocean อีกครั้งได้ เกมนี้ก็คงพอมอบความสุขและความบันเทิงให้ได้อยู่ครับ

จุดเด่น

  • การผจญภัยด้วย DUMA มีการออกแบบมาได้ดี
  • ระบบการเลือกตัวเอก ดึงดูดให้ต้องเล่นอีกรอบเพื่อส่องเนื้อเรื่องในอีกมุม
  • ระบบต่อสู้มีการปรับปรุงให้ใช้ท่าได้หลากหลายและสนุกกว่าภาคก่อน ๆ พอสมควร

จุดด้อย

  • เมนูอินเตอร์เฟสออกแบบมาไม่น่าใช้ ไม่เป็นมิตรกับคนเล่น
  • กราฟิกมีการพัฒนาไม่ห่างจากภาค 5 เท่าไหร่ มิหนำซ้ำตัวละครยังแข็งทื่อ ดูไร้ชีวิตชีวาไปหมดเลย
  • ไม่มี New Game+ ทำให้การเล่นรอบ 2 ไม่ต่างกับการบำเพ็ญทุกขกิริยา

คะแนน 6


ติดตามข่าวเกมพีซี/คอนโซลอื่น ๆ ได้ที่ https://www.online-station.net/pc-console/

คำที่เกี่ยวข้อง

สมัครรับข่าว OS

คุณอาจสนใจเรื่องนี้