แพลตฟอร์ม: PS4, Xbox One, PC
ผู้พัฒนา: Coldwood Interactive
ผู้จัดจำหน่าย: Electronic Arts
ระยะเวลาที่ใช้ในการเล่นจนจบเกม: ประมาณ 3-4 ชั่วโมง
ระยะเวลาที่ใช้ในการเคลียร์ทุกด่านในเกม: ประมาณ 6-10 ชั่วโมง
ทีมงาน OS ต้องขอขอบคุณทางบริษัท Electronic Arts สาขาประเทศออสเตรเลียที่เอื้อเฟื้อโค้ดเกม Unravel TWO เพื่อใช้ในการรีวิวมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
หากพูดถึงเกม Unravel แล้ว เชื่อว่าคอเกมแนวแพลตฟอร์มหลายๆ คนคงรู้จักดีกับเกมที่ขึ้นชื่อในด้านของเนื้อเรื่องที่กินใจและภาพกราฟิกที่สวยงามไม่แพ้เกมระดับ AAA เกมอื่น และภายในงาน E3 2018 ที่ผ่านมานี้ เจ้าไหมพรมตัวน้อย Yarny ของเราก็ได้กลับมาอีกครั้งในเกม Unravel TWO แต่มาคราวนี้ เจ้าตัวจ้อยของเราไม่ได้มาคนเดียว แต่เขาได้พกเพื่อนไหมพรมร่วมก๊วนมาด้วยอีกหนึ่งคน! และเมื่อพูดถึงเพื่อนร่วมก๊วน แน่นอนว่าย่อมหมายถึงระบบ Co-op อย่างแน่นอน เป็นไงล่ะคะ… เริ่มสงสัยกันแล้วใช่ไหมว่าเกม Co-op เกมนี้จะน่าสนใจมากน้อยแค่ไหน รอช้าอยู่ไย ลองไปชมบทความรีวิวแบบฉบับ OS กันเลยดีกว่า!
เช่นเดียวกับภาคก่อน Unravel TWO นั้นจะยังคงพาเราไปผจญภัยร่วมกับไหมพรมน้อยที่เรียกว่า Yarny ในรูปแบบการเล่นแนว Platform หรือการตะลุยด่านไปทางด้านข้างเรื่อยๆ คอยแก้ปริศนาต่างๆ ตามที่ตัวเกมกำหนดมาให้ ซึ่งด้วยความที่ภาคนี้กลายมาเป็นเกมแนว Co-op ทำให้แนวทางการเล่นต่างออกไปจากภาคแรกพอสมควร ในภาคแรกนั้นเราจะได้รับบทเป็นเจ้าไหมพรม Yarny เพียงแค่ตัวเดียว แต่ในภาคนี้กลับมีเพิ่มมาเป็นสองตัว ซึ่งหมายความว่าเทคนิคการควบคุมหรือวิธีที่ใช้ในการแก้ปริศนาย่อมต้องเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ในภาคเดิม เราอาจทำได้แค่ผูกเส้นไหมพรมทำเป็นแทรมโพลีนหรือไต่เชือกโหนไปโหนมา แต่ในภาคนี้ตัวละครทั้งสองจะสามารถยึดเส้นไหมพรมให้แก่กันและกันได้ หรือจะใช้ตัวละครตัวใดตัวนึงเป็นเสาหลักในการโหนเชือกข้ามไปมาก็สามารถทำได้เช่นกัน นอกจากนี้ ในบางด่านก็จำเป็นที่จะต้องอาศัยความร่วมมือกันระหว่าง Yarny ทั้งสอง ทำให้ทั้งคุณและเพื่อนจำเป็นที่จะต้องสื่อสารวางแผนกันให้ดีเพื่อที่จะพิชิตปริศนาต่างๆ ซึ่งก็ถือว่าเอื้ออำนวยให้กับระบบ Co-op ที่เพิ่มเข้ามาได้เป็นอย่างดีเลยล่ะค่ะ
แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นเกม Co-op แต่ใครที่เป็นสายลุยเดี่ยวก็สามารถเล่นเกมนี้ด้วยตัวคนเดียวได้นะคะ ตัวละครหลักของเราจะยังคงมีสองตัวเหมือนเดิม เพียงแต่จะใช้ระบบสลับตัวละครกันเล่นเหมือนอย่างในเกม Brothers: A Tale of Two Sons โดยผู้เล่นจะสามารถเลือกได้ว่าจะบังคับตัวละครตัวไหน ซึ่งตัวละครอีกหนึ่งตัวที่เราไม่ได้เลือกบังคับก็จะยืนอยู่นิ่งๆ คอยถือเส้นไหมพรมหรือทำหน้าที่เป็นเหมือนเสาสำหรับผูกเชือกให้กับเรา หรือถ้าหากต้องการบังคับตัวละครทั้งสองพร้อมๆ กัน เราก็สามารถกดปุ่มเพื่อให้ Yarny ทั้งสอง “อุ้ม” เพื่อนอีกคนเอาไว้ได้ด้วย (ในเกมใช้คำว่าอุ้มนะคะ แต่ถ้าดูจริงๆ แล้วเหมือนการขี่คอแล้วรวมร่างกันมากกว่า…) ซึ่งเจ้าระบบอุ้มที่ว่านี่จะทำให้เราสามารถบังคับตัวละครทั้งสองได้พร้อมกันเหมือนกับเป็นตัวละครตัวเดียวกันเลยล่ะค่ะ ก็ถือว่าเป็นระบบที่สะดวกดีไม่เบา
อย่างไรก็ตาม การเล่นเกมนี้คนเดียวก็ยังคงให้อารมณ์แตกต่างจากการได้นั่งเล่นกับเพื่อนรู้ใจอย่างสิ้นเชิงอยู่ดี ถ้าคุณคิดว่าการเล่นคนเดียวนั้นสนุกแล้ว การได้ชวนเพื่อนอีกคนมาร่วมผ่านด่านไปด้วยกันจะกลายเป็นประสบการณ์อีกรูปแบบหนึ่งไปเลยล่ะค่ะ เพราะด้วยความที่ระบบการเล่นของเกมนี้ถูกออกแบบมาให้ผู้เล่นทั้งสองจำเป็นต้องกดปุ่มบนจอยค้างเอาไว้ และในบางครั้งก็ต้องปล่อยปุ่มให้ถูกจังหวะเพื่อให้สามารถโดดข้ามสิ่งกีดขวางไปได้ การสื่อสารระหว่างผู้เล่นทั้งสองจึงเป็นสิ่งที่ขาดไปไม่ได้เลย (และแน่นอน… บางทีก็มีการแหย่กันเล่นได้เหมือนกัน) ซึ่งความสนุกของเกมนี้ก็อยู่ที่การที่เรากับเพื่อนซี้ย่ำปึ้กได้ช่วยกันแก้ปริศนาไปด้วยกันนี่ล่ะค่ะ แม้จะพลาดบ้าง หัวร้อนบ้าง แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้หัวร้อนอยู่คนเดียวนะเออ
จุดเด่นอย่างหนึ่งที่ทำให้เกม Unravel TWO นั้นแตกต่างจากเกมแนวแพลตฟอร์มเกมอื่นๆ ก็คือกราฟิกและการออกแบบฉากและด่านต่างๆ นี่ละค่ะ ใครที่เคยเล่นภาคแรกก็น่าจะทราบกันดีว่าเกมนี้มีความโดดเด่นอยู่ที่ภาพกราฟิกแบบกึ่งสมจริง ซึ่งแตกต่างจากเกมแนว Platform อื่นๆ ที่มักจะมีกราฟิกเป็นภาพการ์ตูนเสียส่วนใหญ่ ซึ่งจากภาคเดิมที่ภาพสวยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ภาคนี้ก็จะยิ่งสวยขึ้นไปกว่าเดิมอีก ยิ่งเมื่อบวกกับเพลงประกอบภายในเกมที่ถูกบรรเลงออกมาอย่างเหมาะเจาะกับจังหวะของโทนเรื่อง บอกได้เลยว่าใครที่เป็นสายเสพบรรยากาศนี่มีฟินกันแน่นอน นอกจากนี้ ปริศนาต่างๆ ภายในเกมยังถูกออกแบบมาให้เข้ากับบรรยากาศโดยรวมของด่านนั้นๆ ด้วย รวมถึงอุปสรรคต่างๆ หรือศัตรูของเราก็เช่นเดียวกัน ตัวอย่างเช่น หากฉากที่เราเล่นในตอนนั้นเป็นฉากแม่น้ำ ศัตรูของเราก็จะเป็นเหล่าปลาตัวใหญ่ที่คอยว่ายวนอยู่ในฉากหลัง แต่จู่ๆ ก็กลับหันมาจะเขมือบเราซะอย่างนั้น หรือถ้าหากเป็นฉากสวนหลังบ้าน เราก็อาจจะได้เห็นเจ้า Yarny ตัวน้อยของเราช่วยกันดันรถของเล่นพร้อมลูกโป่งลูกเบ้อเริ่มเพื่อใช้เป็นตัวช่วยในการผ่านไปยังด่านต่อไปด้วยก็ได้ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เราอินไปกับตัวเกมได้ไม่ยากเลยล่ะค่ะ
ระบบใหม่อีกหนึ่งระบบที่เพิ่มเข้ามาจากภาคแรก และกลายเป็นอีกจุดเด่นหนึ่งของภาคนี้ไปเลยก็คือโหมด Challenge ที่มีลักษณะเป็นด่านปริศนาต่างๆ ให้ผู้เล่นได้ลองใช้หมองนั่งมาธิกัน ซึ่งด่านต่างๆ นี้ก็จะได้รับการปลดล็อคหลังจากเราผ่านเนื้อเรื่องไปทีละส่วน Challenge แต่ละด่านจะถูกแบ่งตามระดับความยากทั้งหมด 3 ระดับ ตั้งแต่ยากเฉยๆ ยากปานกลาง ไปจนถึงยากสุดๆ ซึ่งแต่ละด่านก็ไม่ได้หมูเลยจริงๆ ค่ะ รูปแบบของปริศนาในแต่ละด่านนั้นจะแตกต่างกันออกไปตามแต่ไอเดียของทีมสร้าง มีตั้งแต่ด่านที่ต้องอาศัยทักษะการจับจังหวะของผู้เล่น ด่านที่ต้องอาศัยความไวของการกดปุ่ม ไปจนถึงปริศนาต่างๆ ที่อาจกินเวลาแก้ถึงครึ่งชั่วโมง ซึ่งสำหรับเพื่อนๆ คนไหนที่ชอบแก้ปริศนาหรือชื่นชอบความท้าทายก็น่าจะหลงรักโหมดนี้ได้ไม่ยาก เพราะแต่ละด่านก็สร้างสรรค์จนบางทีก็อดชม (และด่าในกรณีหัวร้อน…) ทีมงานไม่ได้เลยจริงๆ แถมถ้าหากเราสามารถผ่านด่านได้สำเร็จ เราก็จะได้รับ Yarny หรือไหมพรมน้อยตัวใหม่มาร่วมทีมด้วย หรือพูดง่ายๆ ก็คือได้สกินใหม่มาตกแต่ง เปลี่ยนลักษณะ เปลี่ยนสีให้กับเจ้าไหมพรมทั้งสองของเรานั่นเอง
จุดที่ดูจะด้อยลงไปจากภาคแรกเห็นจะมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น… นั่นก็คือด้านเนื้อเรื่องค่ะ ในภาคนี้ เจ้าไหมพรมตัวน้อยทั้งสองจะทำหน้าที่เป็นเหมือน ‘ตัวแทน’ ของเด็กน้อยสองคนที่พากันหนีออกมาจากบ้านหรือที่อยู่ของพวกเขาในเวลากลางดึก โดยมีเป้าหมายคือการหลบหนีจากกลุ่มผู้ใหญ่ใจร้ายไปยังที่ๆ เหมาะกับพวกเขา ซึ่งเนื้อเรื่องเหล่านี้จะไม่มีการบอกเล่าตรงๆ แต่อย่างใด แต่ผู้เล่นอย่างเราๆ จะต้องอาศัยการตีความผ่านภาพเหตุการณ์มัวๆ ที่จะปรากฏให้เราเห็นในฉากหลังเป็นช่วงๆ เท่านั้น ซึ่งทำให้ในบางครั้ง เรื่องราวที่เราได้รับรู้ก็อาจจะดูเลื่อนลอยและเข้าใจยากไปบ้าง ต่างจากภาคแรกที่ทำให้เราอินไปด้วยได้ง่ายกว่าค่ะ
จุดเด่น
- ระบบ Co-op ที่สามารถร่วมเล่นกับเพื่อนได้อย่างสนุกสนาน
- ปริศนาและด่านต่างๆ ที่ถูกออกแบบมาอย่างละเอียด ไม่ยากและไม่ง่ายจนเกินไป
- ภาพกราฟิกและเพลงประกอบที่สวยงาม แค่ได้ชมบรรยากาศก็คุ้มแล้ว!
จุดด้อย
- เนื้อเรื่องที่ไม่ชวนให้อินเท่าภาคแรก ต้องอาศัยการตีความพอสมควร
- ระบบการควบคุมที่บางทีก็ชวนงงไปบ้างในช่วงแรก แต่หากทำความเข้าใจได้แล้วก็ไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด
สรุป
แม้ว่าในส่วนของเนื้อเรื่องจะกินใจเราได้ไม่เท่าภาคแรก แต่โดยรวมแล้ว เกม Unravel TWO นั้นก็มีพัฒนาการขึ้นมาจากภาคแรกในเกือบทุกๆ ด้าน ทั้งในด้านระบบของเกม ด่านต่างๆ ที่ถูกออกแบบมาอย่างสร้างสรรค์ ชวนให้ขบคิด ภาพกราฟิกและเพลงประกอบที่ช่วยขับบรรยากาศในเกมออกมาได้เป็นอย่างดี รวมไปถึงระบบ Co-op ที่สามารถสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับผู้เล่นได้อย่างดีเยี่ยม ทำให้เกม Unravel TWO เป็นอีกหนึ่งเกมที่คอเกมแนวแพลตฟอร์มไม่ควรพลาดเป็นอันขาดค่ะ!