ไต่ขอบผา ท้ามฤตยู บินสู่อิสรภาพ กับเกม First-Person โฉมใหม่ที่จะพลิกวงการให้สะท้านสะเทือน จากทีมผู้สร้าง Battlefield!

ถ้าหากเราจะนับไล่เรียงกันตั้งแต่การกำเนิดของสิ่งที่เรียกว่า ‘วิดีโอเกม’ ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา หากเราจะไม่กล่าวถึงมุมมองบุคคลที่หนึ่ง (First-Person) นั้น คงจะดูเป็นการละเลยต่อการพิจารณาจนเกินกว่าเหตุ… ในตอนนั้นใครจะคาดคิดว่าความพยายามที่จะสร้างความเร้าใจสมจริงให้กับมุมมองการเล่นที่เคยวนเวียนอยู่กับการผจญภัยแนวด้านข้าง (2D Side-Scrolling) ผนวกกับวิวัฒนาการ

ของกราฟิกจะจุดประกายให้กับการนำเสนอประสบการณ์การเล่นที่อุปมานเอาว่าตัวผู้เล่นนั้นมองผ่านสายตาของตัวละครที่เขาสวมบทบาทอยู่ หรือเราเรียกกันอย่างคุ้นเคยทุกวันนี้ว่า… First Person
แต่กระนั้นสิ่งที่ยังน่าเศร้าสำหรับคุณูปการของมุมมองบุคคลที่หนึ่งก็ยังต้องติดอยู่ในสารบบ “เดินหน้ายิง (Shooting)” จนทำให้เราคุ้นเคยอยู่แต่กับศัพท์ว่า First Person Shooter หรือ FPS ไปอย่างช่วยไม่ได้ เหมือนกับที่ระบบ Real-Time เป็นของคู่กับเกมแนว Strategy ฉันใด First-Person ที่ยังอุดหน้าจอด้วยกระบอกปืน ดาบ คทา ง้าว และลำแสงกระสุนก็ยังคงอยู่เคียงคู่แนวเกม Shooting ชนิดตามติดฉันนั้น… ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย

เมื่อพิจารณาถึงสิ่งที่มุมมองการเล่นดังกล่าวจะสามารถไปและเป็นได้มากกว่าที่เกิดขึ้นในปัจจุบันแต่ดูเหมือนว่ายังมีอีกหนึ่งทีมพัฒนาสัญชาติสวีเดนอย่าง DICE ผู้เคยผ่านผลงานเกมเดินหน้ายิงแบบมัลติเพลเยอร์สุดมันส์อย่างซีรีส์ Battlefield ที่สร้างชื่อเสียงและที่ทางให้กับพวกเขา จนค่ายยักษ์ใหญ่อย่าง EA ต้องรีบคว้าตัวมาไว้ในการดูแล กลับเลือกที่จะคิดแหกลำ หยุดการพัฒนาซีรีส์ Battlefield ไว้ก่อนชั่วคราว และขอเลือกทาง ‘ระห่ำนรก’ กับการประยุกต์มุมมอง First-Person เพื่อรับใช้กับแนวคิดสุดเหวี่ยงราวกับไต่ผาของพวกเขา ที่น่าจะสร้างสีสันและความสดใหม่ และรีดเร้นเอาศักยภาพที่มุมมองดังกล่าวจะสามารถเป็น และมอบให้กับวงการเกมในยุคสมัยที่กำลังจะมาถึงนี้

เฉกเช่นเดียวกับเธอ… สาวน้อยผู้ที่มีสายตาจดจ้องสู่ท้องฟ้าเบื้องบน พร้อมจะทะยานตะกายปีกไปสู่ ‘อิสรภาพ’ ที่ปราศจากความเฉื่อยเนือยทางความคิดและการทับถมกดขี่ของเหล่าเผด็จการที่บงการอยู่ในทุกขณะจิตของผู้คนอย่างไม่หวาดหวั่น… แม้สิ่งที่ขวางกั้นจะเป็นเพียงขอบกระจกอันบางเบาก็ตาม…

นักวิ่งวิญญาณเสรี กับวิถีแห่งโลกเผด็จการ

ร่างบอบบางในชุดเสื้อกล้าม กางเกงวอร์ม และรองเท้าผ้าใบ นักวิ่งยังคงไต่ไปตามตึกสูง ประสาทสัมผัสและสายตาที่คมกริบประดุจเหยี่ยวกำลังทำงานแข่งเสียงกระสุนปืนของเหล่าผู้พิทักษ์สันติราษฏร์ยังคงกรีดกระหน่ำตามหลังเธออย่างไม่ขาดสาย ไล่ล่าให้ถึงตายราวกับอาชญากรผู้กระทำความผิดที่มิอาจได้รับการอภัย…
Faith Connors…นัก ‘วิ่งสาร’ มือหนึ่งผู้นี้…

สองเท้าก้าวย่าง กระเป๋าย่ามบรรจุข้อความสำคัญ สายลมร้อนพัดผ่านใบหน้า ท่ามกลางสายธารแห่งหายนะที่ไล่หลัง เธอพยายามหวนระลึกถึงช่วงเวลาที่ประหนึ่งจุดเริ่มต้นของสายงาน ‘ผิดกฎหมาย’ ของตนเอง…

เธอไม่อาจจะจำได้ว่าเป็นวัน เดือน หรือปีที่เท่าใด มันช่างยาวนานราวกับชั่วนิจนิรันดร์ มีเพียงสิ่งเดียวที่จดจำได้อย่างแม่นยำ นั่นคือกองทหาร การประท้วงต่อต้าน ผลเลือกตั้งที่ไม่ชอบมาพากลของคณะรัฐบาล และการกวาดล้างผู้เห็นต่างด้วยกำลังอย่างไร้ความปรานี เป็นหนึ่งในห้วงเวลาสับสน กลียุคแห่งการปกครอง เธอกับ Kate พี่สาวฝาแฝด ต้องประสบโศกนาฏกรรมเมื่อแม่ผู้เป็นนักรณรงค์คนสำคัญ ถูกสังหารท่ามกลางความโกลาหล ชีวิตของเด็กสาวพังทลาย เมื่อขาดแม่ พ่อผู้เป็นที่พึ่งหนึ่งเดียวก็ตกอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์ จมความเศร้ากับขวดเหล้า ไม่อาจเป็นเสาหลักให้สองพี่น้องในยามยากได้อีกต่อไป

แต่ถ้านั่นคือเรื่องเศร้า เหตุการณ์ที่ตามมาคงนับว่า ‘สิ้นหวัง’ เป็นแน่…
ภายหลังการกวาดล้าง คณะรัฐบาลเผด็จการทำการบูรณะเมืองที่เสียหายขึ้นมาใหม่ ทุกสิ่งดูสดใส สะอาดสวยงาม และทันสมัย แต่ภายใต้ความศิวิไลซ์ กลับแฝงไว้ด้วยอุบายบงการทางความคิดและการกระทำสารพัด การดักฟัง กล้องวงจรปิด และการกำจัดผู้ต่อต้านอย่างลับๆ ยังคงเกิดขึ้นอย่างเป็นล่ำเป็นสันแต่ทุกคนกลับเลือกที่จะเงียบ… นิ่งเฉยแต่เป็นสัจธรรมข้อหนึ่งของโลก เพราะเมื่อที่ใดมีการกดขี่ ที่นั่นย่อมมี… การต่อต้าน นั่นจึงเป็นที่มาของ Runners หรือเหล่านัก ‘วิ่งสาร’ ที่เชี่ยวชำนาญในศิลปะแห่ง Freerunner สามารถใช้ภูมิทัศน์ของตึกสูงแห่งเมือง เป็นทางด่วนเพื่อขนส่งข้อความสำคัญของเหล่ากลุ่มต่อต้านรัฐบาลที่ไม่สามารถส่งมอบได้ด้วยวิธีการปกติธรรมดา

สำหรับ Faith จุดเริ่มต้นของเธอก็คงไม่แตกต่างจากคนอื่น สิ้นศรัทธาจากระบบการสื่อสารสมัยใหม่ ละจากบ้านเมื่ออายุ 16 เพื่อหาหนทางของตนเอง ได้พบเจอกับ Mercury นักวิ่งสารระดับปรมาจารย์ ผู้ฝึกสอน ดึงศักยภาพ และจุดเชื้อไฟแห่งการเป็น Runner ในตัวเธอให้ตื่นขึ้นมา จนกลายเป็นมือหนึ่งที่ใครๆ ต้องเรียกหา

เสียงกราดกระสุนเริ่มคล้อยหลัง จากเส้นทางวิ่งอันคดเคี้ยวที่ Faith มักใช้อยู่เป็นประจำ ใกล้ถึงที่หมายเข้าไปทุกขณะ เป็นงานง่ายๆ อีกหนึ่งชิ้นที่ไม่มีอะไรยุ่งยาก แต่ก็มีผลสำคัญที่พลาดไม่ได้ เพราะนี่คือแผนการของ Robert Pope นักการเมืองหน้าใหม่ใสสะอาด ผู้ตั้งใจจะกำจัดการคอรัปชั่นทั้งหลายให้หมดสิ้น แน่นอน ความเหนื่อยยากและอุปสรรคทั้งหลายมันเล็กน้อยนัก เมื่อเทียบกับสิ่งที่เธอวาดหวังเอาไว้… ว่าสักวัน… Kate พี่สาวฝาแฝดจะได้เลิกทำงานให้กับกรมตำรวจ… สักวัน… ที่ความมืดมนไร้หนทางแห่งการปกครองจะผ่านพ้นไป… และสักวัน… ที่เธอจะได้หยุดใช้ชีวิตที่เต็มไปด้วยผาสูงและขอบกระจก พร้อมเดินอย่างอิสรเสรีบนท้องถนนเฉกเช่นเสรีชนพึงเป็นเสียที

First-Person Adventure: โฉบเฉี่ยว ฉับไว ไฉไล และ (เกือบจะ) ไร้ปืน…

“พวกเรารัก Battlefield ครับ แต่ซีรีส์นี้เป็นทั้งพรจากสวรรค์และคำสาปไปในคราวเดียวกัน เพราะเมื่อไหร่ที่คนพูดถึง DICE ก็มักจะนึกถึงเกมเกมนี้อยู่ร่ำไป” นี่คือคำกล่าวของ Sean Decker หัวหน้าฝ่ายการตลาดของ EA DICE ถึงที่มาของโปรเจ็กต์ Mirror’s Edge “แน่นอนว่า พวกเขาจะตั้งตาคาดหวังว่าพวกเราจะต้องทำเกมแนว First-Person Shooter ออกมาอีกแน่ๆ แต่ไม่นะ เรากำลังทำเกม Action Adventure ที่เกี่ยวข้องกับ ‘การเคลื่อนไหว’ เป็นหลักใหญ่ต่างหาก”
แน่นอนว่าจากจุดเริ่มต้นดังกล่าว ค่อยๆ ก่อร่างขึ้นเป็นภาพของ Mirror’s Edge ในหัวของทีมพัฒนามาช้านาน ผสมผสานแนวคิดอันหลากหลายของการ ‘เคลื่อนไหว’ เพื่อแก้ปัญหาความซ้ำซากที่เกิดขึ้นกับเกมแนว First-Person จนมาพบเจอกับศิลปะแห่ง Parkour (อ่านว่า “ปากัว”) ที่เข้ากับไอเดียดังกล่าวได้เป็นอย่างดี

นั่นเพราะระบบการเล่นหลักๆ ของ ME (ตัวย่อ) นี้ ผู้เล่นในบทบาทของ Faith นั้นจะมีความสามารถทางร่างกายระดับสูง ความคล่องตัวเพื่อใช้ในการวิ่ง ปีน ไต่ กระโดด และโหนไปตามขอบตึก นั่งร้าน สายสลิง เพื่อหลบหนีเหล่าผู้พิทักษ์สันติราษฏร์และไปให้ถึงเป้าหมายของภารกิจที่กำหนดไว้ ท่ามกลางเมืองเผด็จการอันแสนศิวิไลซ์ แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปนั่นคือ การที่ EA DICE เลือกใช้มุมมองบุคคลที่หนึ่งเพื่อนำเสนอภาพของการเล่นแบบแพลตฟอร์มที่แปลก แต่มีความคล่องตัวเป็นเยี่ยม ซึ่งหาได้ยากยิ่งจากเกมแนว First-Person ทั่วๆ ไป

“มันเป็นการผสมผสานของการเคลื่อนไหวจากสื่อต่างๆ น่ะครับ” Decker กล่าวอีกครั้ง “ถ้าสังเกตดีๆ จะพบว่ามันไม่ใช่อะไรที่ใหม่สดมากนัก เราคัดเลือกมาจากหลายๆ แหล่งทั้งฉากการไล่ล่าตอนเปิดเรื่องของ Casino Royale, ท่วงท่าต่อสู้ของ Bourne ในซีรีส์ Jason Bourne แต่ทั้งหมดอยู่ในกรอบความคิดที่ว่า เราอยากทำมันให้อยู่ในมุมมองบุคคลที่หนึ่ง เพราะในภาพยนตร์หลายๆ เรื่อง มันเป็นมุมมองบุคคลที่สาม ซึ่ง First-Person ก็เป็นแนวที่เราถนัด และหาทางตัดข้อจำกัด อย่างเช่นอาการ Motion Sickness (อาการของผู้แพ้เกมแนว First-Person ที่มักจะวิงเวียนจนถึงอาเจียนขณะเล่น – กอง บ.ก.) ออกไปด้วยน่ะครับ”

แน่นอนว่าผลสัมฤทธิ์ที่ได้คือการที่ผู้เล่นได้จะฝ่าอุปสรรคขวางกั้นได้อย่างลื่นไหลสวยงาม ต่อเนื่องไร้รอยสะดุดด้วยระบบ Runner’s Vision ที่จะทำให้สิ่งก่อสร้างหรือสิ่งกีดขวางที่สามารถใช้งานได้ ส่องสว่างโดดเด่นเป็นสีแดงออกมาจากบรรดาสิ่งละอันพันละน้อยเพื่อให้ง่ายต่อการสังเกต (แต่แน่นอน ผู้เล่นสามารถปิดระบบดังกล่าว หรือเลือกใช้เส้นทางอื่นที่ไม่ปรากฏโดยระบบนี้เลยก็ย่อมได้) พร้อมรับชมทัศนียภาพแห่งฉากหลังที่สวยงามสะอาดตา ที่ผู้เล่นหลายคนบอกว่ามันดูจืดชืดแห้งแล้งจนเกินไป แต่ก็น่าจะเหมาะกับสภาพเมืองที่ตกอยู่ภายใต้การควบคุมสมบูรณ์แบบ (เกมนี้ขับเคลื่อนด้วย Unreal Engine 3 แทนที่จะเป็น Frostbite อย่างที่เคยมีมา เพื่อการแสดงผล ความคมชัด และแสงเงาที่ดีกว่า) และไร้หน้าจอบอกสถานะมาบดบังเฉกเช่นที่เกมอื่นๆ เป็น

แต่สิ่งที่ทาง DICE ภูมิใจนำเสนอในผลงานชิ้นล่าสุดของตน กลับเป็นระบบจำลองการเคลื่อนไหวของร่างกายและ ‘แรงเหวี่ยง’ ของการเคลื่อนที่ เพื่อก่อให้เกิดความลื่นไหลของจังหวะการวิ่ง ตัวอย่างเช่น การกระโดดข้ามขอบตึก จำเป็นต้องใช้การวิ่งเพื่อส่งแรงให้ไปได้ไกลยิ่งขึ้น และถ้าผสานเข้ากับการม้วนหน้า คุณจะสามารถรักษาระดับแรงเหวี่ยงเพื่อใช้ในการหลบหนี กลายเป็นฉากการไล่ล่าความเร็วสูงที่ต่อเนื่องไม่มีที่สิ้นสุด รวมถึงการใส่ระบบ Slo-Mo ภายใต้ชื่อ ‘Reaction Time’ ที่มีให้เลือกใช้ในช่วงเวลาจำเพาะอันเกิดจากการผสานท่วงท่าไต่โหนที่ผสานต่อเนื่องได้ในระดับหนึ่ง เพื่อให้การกะจังหวะการกระโดด หรือการต่อสู้กับศัตรูทำได้แม่นยำมากยิ่งขึ้น (แต่ก็ไม่ได้มีให้ใช้กันเกร่อเหมือนทั่วๆ ไป)

กระนั้น Faith ก็หาใช่นักสู้วีรสตรีผู้มาพร้อมกับดาบเล่มโตปืนกระบอกเขื่อง สามารถกำราบเหล่าร้ายได้นับสิบในครั้งเดียว เธอยังคงเป็นมนุษย์ปุถุชนทั่วๆ ไป นั่นหมายถึงการที่เธอไม่สามารถทดต่อการโจมตีได้อย่างต่อเนื่อง การโดนยิงเพียงไม่กี่นัด หรือโดนฟาดไม่กี่ครั้ง ก็สามารถส่งคุณกลับไปยังจุดเช็คพอยท์เอาได้ง่ายๆ (โปรดอย่าลืมว่า Faith นั้นใส่แค่เสื้อกล้าม กางเกงวอร์ม และรองเท้านักกีฬา หาใช่เสื้อเกราะหนาแบบ Gears of War ไม่)

และแม้ว่าทาง DICE จะใส่ระบบการต่อสู้ระยะประชิดเพื่อให้ Faithสามารถออกท่าต่อสู้มือเปล่า รวมถึงปลดอาวุธของศัตรูเมื่อกดได้ถูกต้องตามจังหวะที่กำหนด แต่การถืออาวุธก็เป็นการจำกัดการเคลื่อนไหวของเธอไปโดยปริยาย ท่วงท่าบางอย่างไม่สามารถกระทำได้หากมีอาวุธหนักอยู่ในมือ รวมถึงความเร็วสูงสุดที่เกิดจากการวิ่งก็จะลดลงไปอย่างน่าใจหาย สรุปคือ ME จะมีปืนให้คุณได้ ‘เลือกเก็บ’ และ ‘เลือกใช้’ แต่ไม่ใช่ ‘ประเด็นหลักใหญ่’ อาจจะเรียกได้ว่าเป็นเพียง ‘อุปกรณ์’ จำเพาะในบางสถานการณ์ด้วยซ้ำ (อย่างเช่น ยิงประตูที่ปิดล็อก หรือระเบิดกระจกเพื่อเปิดทาง เป็นต้น) เพราะเป้าหมายของทีมพัฒนาคือการให้ผู้เล่นได้ใช้สมองกับสองตา กราดมองสภาพแวดล้อมเพื่อค้นหาเส้นทาง ก่อนจะ ‘วิ่ง’ ให้สุดฝีเท้านั่นเอง

จับเวลา ท้ามรณะ

อีกหนึ่งลูกเล่นที่ทาง DICE ได้เตรียมไว้สำหรับตีนผีขาซิ่ง คือโหมด Time-Trial หรือโหมดจับเวลาพิเศษ ที่จะปลดล็อกหลังจากการเล่นเคลียร์เกมหลักไปหนึ่งรอบ (หรือเคลียร์ฉากหนึ่งๆ ด้วยเงื่อนไขเวลาที่กำหนด) โดยแผนที่ในโหมดดังกล่าวจะมีการกำหนดฉากที่สร้างขึ้นมาใหม่โดยอ้างอิงจากสภาพแวดล้อมหลักที่มีอยู่ภายในตัวเกม ทั้งตึกระฟ้า ท่อระบายน้ำสูงชัน อุโมงค์คดเคี้ยว และอื่นๆ อีกมาก และจะมีการกำหนดระดับเป็น ‘ดาว’ เพื่อเป็นของรางวัลในการทำลายสถิติเวลาของฉากนั้นๆ อาทิ ในฉากหนึ่ง คุณอาจจะได้หนึ่งดาวจากการผ่านจุดเช็คพอยท์ทั้งห้าด้วยเวลา 1 นาที 55 วินาที แต่ถ้าระดับสองดาว คุณอาจจะต้องทำให้ได้ภายใน 1 นาที 20 วินาที หรือสามดาวสูงสุด คุณอาจจะต้องทำให้ต่ำกว่า 1 นาที เป็นต้น รวมถึงตัวเกมจะบันทึกทุกรายละเอียดของการเล่นในรอบหนึ่งๆ ไว้จนละเอียดยิบ ตั้งแต่ความเร็วที่ใช้ จนถึงระยะทางที่ ‘สั้นที่สุด’ ที่สามารถทำได้ในเส้นทางระหว่างเช็คพอยท์ (ซึ่งหลายครั้ง มันทั้ง ‘สั้น’ และ ‘พิสดาร’ เกินกว่าที่คุณจะคาดเดาได้ด้วยซ้ำ) เป็นต้น

หรือถ้าแข่งกับเวลายังไม่สาแก่ใจ คุณสามารถนำเอาบันทึกในการเล่นรอบที่ผ่านๆ มาของตัวเอง หรือของผู้เล่นคนอื่นๆ ที่อัพโหลดขึ้นใน Scoreboard มาเปิดเป็น ‘นักวิ่งเงา’ เพื่อแข่งขันในฉากนั้นๆ รวมถึงยังสามารถอัพโหลดเวลาที่ใช้ขึ้นตารางเพื่อประกาศความเป็นสุดยอดแห่ง ‘นักวิ่งไต่ผา’ ได้อย่างไม่ยากเย็น

นอกจากนั้นแล้ว ด้วยระบบออนไลน์ที่สมบูรณ์แบบของพีซี ทาง DICE เองก็แอบแง้มๆ ว่าจะปล่อย ‘เนื้อหาเสริม’ ที่จะตามมาในอนาคตข้างหน้า อาจจะเป็นแผนที่ใหม่ๆ หรือรูปแบบการเล่นใหม่ก็ได้ ซึ่งในขณะนี้ก็มีตัวอย่างของ Mappack ให้เราได้ชมกันไปบ้างแล้วตามสมควร แต่ทาง EA เองก็ยังไม่มีความเห็นใดๆ เกี่ยวกับเงื่อนไข หรือสนนราคาสำหรับชุดแผนที่ดังกล่าว เราคงต้องมาติดตามกันต่อไป

ไต่อย่างมั่นใจ กับทัศนียภาพใหม่บนระบบพีซี

แต่อย่างที่ทราบกันดี ME คือเกมแบบมัลติแพลตฟอร์มที่ลงให้กับระบบ Xbox 360 และ PS3 มาก่อนหน้าระบบพีซีถึงสองเดือนเต็ม ระบบควบคุมและกราฟิกก็ดูจะหนีไม่พ้นประเด็นร้อนที่พร้อมจะถูกยกนำมาถกกันได้ตลอดเวลา ซึ่งทาง DICE เองก็ไม่ได้นิ่งดูดาย พร้อมใส่ใจในการแปลงระบบอย่างสุดความสามารถ และกล่าวยืนยันว่าระบบควบคุมผ่านเมาส์/คีย์บอร์ดจะใช้ได้สะดวกอย่างมาก ปุ่ม W, A, S, D ที่คุ้นเคยใช้ควบคุมการเคลื่อนไหว ปุ่ม Q ใช้สำหรับกลับลำ 180 องศา ปุ่ม Spacebar ใช้สำหรับกิจกรรมทาง ‘ขึ้น’ ทุกชนิดตั้งแต่กระโดดจนถึงปีนป่าย ปุ่ม Shift ใช้สำหรับกิจกรรมทาง ‘ลง’ อย่างการสไลด์ การทิ้งตัว หรือการม้วนหน้า ส่วนปุ่มบนเมาส์ก็เข้าใจอย่างง่ายๆ ด้วยปุ่มซ้ายสำหรับออกท่าต่อสู้ และปุ่มขวาสำหรับปลดอาวุธศัตรู แน่นอนว่าปุ่มทั้งหมดสามารถปรับเปลี่ยนได้ รวมถึงการสนับสนุนจอยแพด Xbox 360 แต่ทางผู้พัฒนาก็ได้ย้ำมาว่า การควบคุมแบบคีย์บอร์ด/เมาส์นั้นสะดวกกว่ามากๆ (และหลังจากทดสอบตัวอย่างเกมไประยะหนึ่ง ก็เห็นพ้องว่าเป็นอย่างที่กล่าวไว้จริงๆ )

ในส่วนของกราฟิกเองก็ได้รับการยกเครื่องให้รองรับความละเอียดสูงยิ่งขึ้น และใช้เอนจิ้นฟิสิกส์ PhysX เพื่อเสริมรายละเอียดปลีกย่อย อย่างเช่น การแตกกระจายของเศษแก้ว หรือความพลิ้วไหวของผ้า สมจริงยิ่งกว่าที่เคย แต่ทางผู้พัฒนาก็ยังไม่ได้เจาะลึกในรายละเอียดว่า ระบบดังกล่าวทั้งหลายนั้นจะช่วยในส่วนของเกมการเล่นอย่างไร แต่ที่เรามั่นใจได้นั้นก็คือการที่ DICE ได้ตั้งเป้าให้ผลงานชิ้นนี้ออกมาเป็นที่ประทับใจ และเหมาะสมกับผู้เล่นบนระบบพีซีอันเป็นบ้านหลังเก่าของพวกเขามากที่สุด ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง

วิ่งให้สุดฝีเท้า ก้าวสู่บันไดสวรรค์

มันเป็นระยะเวลาเกือบปีเต็ม สำหรับกลุ่มทีมพัฒนาสัญชาติสวีเดน กับการเลือกทาง ‘เสี่ยง’ ของพวกเขา… ภายใต้ร่มเงาของ EA ภายในชื่อเสียงที่หยั่งรากได้ระดับของซีรีส์ Battlefield พวกเขาเลือกที่จะปั่นภาคต่อของมหกรรมกระหน่ำกระสุนนี้กันอีก 3, 4 หรือ 5 ภาคก็ได้ ถ้าใจคิดอยากจะทำ แต่นั่นคงเปรียบเสมือนความรู้สึกที่เฉื่อยเนือย หยุดนิ่ง ราวกับคลื่นชีวิตที่เงียบงัน ตายทั้งเป็น…

แต่จากที่ได้กล่าวไป Mirror’s Edge เวอร์ชั่นพีซีก็ใกล้สถานะที่เกือบเสร็จสมบูรณ์เข้าไปทุกขณะ (และคาดว่าในขณะที่ทุกท่านกำลังอ่านบทความชิ้นนี้ ย่างก้าวเท้าติดปีกคงสถิตเข้าสู่ฮาร์ดดิสก์กันเป็นที่เรียบร้อยแล้วเช่นกัน) มันยังคงเอกลักษณ์แห่งเฉพาะตัวอย่างเต็มพิกัด มันสวยงาม หลากสไตล์ และโฉบเฉี่ยวไฉไลในทุกองค์ประกอบการสร้าง อันเกิดจากการผสมผสานของสิ่งละอันพันละน้อย ต่อยอดจนกลายเป็นผลลัพธ์ที่น่าประทับใจ เป็นผลงานอันเกิดจากไอเดียสุดบ้าบิ่น และเต็มไปด้วย ‘ศรัทธา (Faith)’ ถึงความเป็นไปได้อันไม่สิ้นสุด แต่ท้ายที่สุด ถ้าทุกสิ่งที่ทางทีม EA DICE ได้บรรจงสรรค์สร้าง เปรียบได้กับคานที่ยื่นไปสู่ฟากฟ้า “คนที่จะไต่ขอบหน้าผา ทะยานไปสู่ความสนุกสูงสุดที่ตัวเกมพร้อมจะมอบให้ คงไม่ใช่ใครอื่นใด นอกจากเกมเมอร์อย่างพวกเราเอง”

เรื่อง: บ้าเกม

Rhianna Pratchett :: ชีวิต ลมหายใจ และจิตวิญญาณแห่ง Mirror’s Edge

อาจจะเป็นเรื่องที่เป็นปกติธรรมดาเสียแล้ว สำหรับวงการเกม กับการใส่ใจในทุกรายละเอียดไม่ใช่แต่เฉพาะสิ่งที่ตามองเห็น เนื้อหาที่ขับเคลื่อนความเป็นไปก็คือสิ่งหนึ่งที่ไม่อาจมองข้าม และเป็นความโชคดีของทาง EA DICE ที่ได้นักเขียนบท และคอเกมมือฉมังอย่าง Rhianna Pratchett มาช่วยออกแบบเนื้อหาและเรื่องราวของ Mirror’s Edge

“พวกเรารู้สึกตื่นเต้นมากเลยครับที่ได้ Rhianna Pratchett มาช่วยในส่วนต่างๆ เหล่านี้” Owen O’Brien โปรดิวเซอร์หลักของโปรเจ็กต์เกมกล่าว “อาจจะเรียกได้ว่าโชคดีอย่างมากๆ ที่เราไม่ได้แค่เพียงคนเขียนบท แต่เป็นนักเล่นเกมตัวยงมาช่วยสรรค์สร้างทุกสิ่งที่เกิดขึ้นใน Mirror’s Edge นี้ครับ”

ทาง Rhianna Pratchett เองก็ตื่นเต้นที่ได้ร่วมงานกับทีม DICE ไม่แพ้กัน โดยกล่าวว่า “มันเป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมมากค่ะ ในการได้ร่วมงานกับทีม DICE ในการปั้นตัวละครอย่าง Faith รวมถึงเนื้อหา และปูมหลังของเธอ” นอกจากนั้นยังกล่าวเสริมด้วยว่า “อย่างที่ทราบ ตัวละครทุกตัวของฉันนั้นเป็นเพียงคนธรรมดา ที่กลายมาเป็นความพิเศษจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แน่นอนว่า Faith นั้นมีความสามารถ แต่เธอก็ไม่ใช่ยอดมนุษย์ เธอมีข้อผิดพลาดเช่นพวกเราทุกคน กล่าวอย่างสั้นๆ เธอคือความสมจริง และนี่คือเสน่ห์ของเธอค่ะ”

สำหรับ Rhianna Pratchett นี้เป็นลูกสาวของนักเขียนนิยายแฟนตาซีชื่อดัง Terry Pretchett (กับผลงานคลาสสิกซีรีส์ Discworld) วนเวียนในอุตสาหกรรมเกมมายาวนานเกือบสิบปี ซึ่งผลงานที่โดดเด่นของเธอในช่วงที่ผ่านๆ มาก็คือ Heavenly Sword และ Overlord ที่ได้รับรางวัล BAFTA และ Develop Award ในหมวดเนื้อหา ตัวละคร และสินทรัพย์ชนิดใหม่ รวมถึงยังได้รับการโหวตจากเว็ไซต์ Next-Gen.biz ในฐานะหนึ่งในผู้หญิง 100 คนที่ทรงอิทธิพลที่สุดในอุตสาหกรรมวิดิโอเกมอีกด้วย

สำหรับใครที่อยากรับทราบรายละเอียดผลงานของเธอ สามารถหาชมได้ที่เว็บไซต์ www.rhiannapratchett.com ครับ


[
2]

Mirror’s Edge Original Soundtrack – ดนตรีสื่อเสรีภาพ

อาจจะเรียกได้ว่าเป็นครั้งแรก ที่ชิ้นงานเกมจะมีผลงาน ‘เพลงประกอบ’ ที่แต่งขึ้นเพื่อมันโดยเฉพาะโดยศิลปินที่มีอยู่จริงๆ (ไม่นับการหยิบยืมเพลงที่มีอยู่แล้ว อย่างที่เป็นกันมา) ซึ่ง Still Alive ซิงเกิ้ลประกอบของ Mirror’s Edge นี้ (อย่าสับสนกับเพลงชื่อเดียวกันจากเกม Portal นะครับ) จะขับร้องโดย Lisa Miskovsky ศิลปินป๊อบร็อกสาวชาวสวีเดนในภาษาอังกฤษเต็มรูปแบบ (เพราะทีม DICE เกือบทั้งหมดเป็นชาวสวีเดนครับ) แน่นอนว่าทางนักร้องสาวเองก็ตอบรับข้อเสนอด้วยความยินดี เพราะนอกจากเธอจะมีเสียงที่เป็นเอกลักษณ์แล้ว เธอยังเป็นนักเล่นเกมที่วนเวียนกับวิดีโอเกมมาตั้งแต่เด็กๆ นอกเหนือจากนั้นเพลงเดียวกันยังถูกนำมารีมิกซ์โดยศิลปินดีเจรับเชิญชื่อดังอีก 5 คน ได้แก่ Armand Van Helden, Paul Van Dyk, Teddybears, Junkie XL และ Benny Benassi

 ภาพยนตร์การ์ตูนคั่นฉากของ Mirror’s Edge ที่ให้ความรู้สึกดิบผสมกับความไม่ชอบมาพากลของฉากหลังเรื่องราวได้อย่างลงตัว

วัดฝีเท้ากันให้ถึงแก่น กับนักวิ่งเงาในโหมด Time-Trial

การสไลด์ลงมาจากเนินผา ช่วยเร่งแรงเหวี่ยงของ Faith จนถึงขีดสุด อย่าพลาดปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไปนะครับ

 งานเสี่ยงตายท่ามกลางความสูงสุดใจ คือหน้าที่หลักของเหล่า Runner

 สภาพแวดล้อมเมืองใน Mirror’s Edge นี้สวยงาม สะอาดตา และท้าทายเอามากๆ

 แน่นอนว่าคุณสามารถใช้อาวุธปืนได้ในเกมนี้

ไม่ใช่แค่ฉากภายนอกอาคารเท่านั้น ภายในยังสวยงามและดูดีเอามากๆ (เตะมันให้คว่ำเลย)

 Concept Art โดยคร่าวๆ ของรูปแบบการเคลื่อนไหวที่หลากหลายภายในเกม

Faith นัก ‘เดินสาร’ สาวผู้มีความคล่องตัว พร้อมออกลุยในทุกย่างก้าวอย่างไม่หวาดหวั่น

ถ้าคุณคิดว่าแน่ ลองฉากสุดระห่ำใน Download Content นี้หน่อยเป็นอย่างไร?

คำที่เกี่ยวข้อง

สมัครรับข่าว OS

คุณอาจสนใจเรื่องนี้