ครบรอบ 6 ปี Left Behind เนื้อหาเสริมสุดซึ้งของเกม The Last of Us

ท่ามกลางเทศกาลวันวาเลนไทน์เช่นนี้ เชื่อว่าใครหลายคนที่ไม่ได้ออกไปเดทกับคนรัก ก็อาจจะมานั่งเล่นเกมด้วยกันตามประสาคู่รักเกมเมอร์นะครับ ซึ่งวันนี้เราขออิงกระแสวันแห่งความรักนี้ด้วยการเสนอบทความครบรอบ 6 ปีของ DLC เนื้อเรื่องเสริมของเกม The Last of Us ที่มีชื่อว่า Left Behind กันสักหน่อย เนื่องจาก DLC ตัวนี้เคยถูกพูดถึงในวงกว้างอยู่ช่วงหนึ่ง เพราะมีฉากตัวละครที่อยู่ในกลุ่ม LGBT แสดงความรักต่อกันในลักษณะหญิงรักหญิง และฉากที่ว่านี้ก็ได้กลายเป็นสื่อสัญลักษณ์ใหม่ของวงการเกมที่เหมือนเป็นการประกาศว่าโลกของเกมก็เปิดกว้างต่อเรื่องเพศสภาพ ขณะเดียวกัน ความรักเองก็ไม่ควรถูกจำกัดในเชิงอุดมคติที่ชายหญิงต้องคู่กันเท่านั้นอีกต่อไป

ว่าแล้วเรามารู้จักกับ Left Behind กันให้ลึกขึ้นกับบทความนี้กันเลยดีกว่าครับ

คอนเทนต์ครบรอบ 6 ปี Left Behind นี้จะมีเนื้อหาที่เป็นการสปอยล์เนื้อเรื่องอยู่ในช่วงท้ายของบทความ

เกร็ดเล็กน้อยของ Left Behind

จริง ๆ แล้ว ก่อนที่เกม The Last of Us จะวางขายบน PS3 ประมาณ 2 เดือน ทาง Naughty Dog เคยมีทำคอมิก (หนังสือการ์ตูน) ที่ชื่อเรื่องว่า The Last of Us: American Dreams จำนวน 4 เล่มจบ เริ่มวางจำหน่ายเล่มแรกในวันที่ 3 เมษายน 2013 จัดจำหน่ายโดยสำนักพิมพ์ Dark Horse Comics ซึ่งเป็นผลงานการเขียนเนื้อเรื่องจากคุณนีล ดรัคแมนน์ และคุณเฟธ อีริน ฮิคส์ (ดรัคแมนน์เป็นผู้กำกับเกม The Last of Us ทั้งสองภาคด้วย)

กระบวนการพัฒนา Left Behind ได้เริ่มขึ้นทันทีหลังจากเกม The Last of Us วางจำหน่ายบน PS3 ในเดือนมิถุนายน 2013 โดยดึงเอาทีมพัฒนาจากตัวเกมเนื้อเรื่องหลักประมาณครึ่งนึงเพื่อมาทำ Left Behind ซึ่งทีมงานตั้งใจแต่แรกแล้วว่าจะให้ DLC ชุดนี้เป็นโหมดซิงเกิลเพลเยอร์ล้วน ๆ จึงเน้นไปที่การวางพล็อตเรื่องที่มีเอลลี่เป็นศูนย์กลาง

ทีมงานพบว่าผู้เล่นจำนวนมากสนใจอยากจะรู้เนื้อหาเกี่ยวกับชีวิตของเอลลี่ในช่วงก่อนที่จะเริ่มเกมเนื้อเรื่องหลัก เพราะเห็นเอลลี่มีพูดถึงไรลีย์ในช่วงท้ายเกม และตอนที่เราสำรวจเป้ของเอลลี่ก็จะเห็นว่ามีไอเท็มสายด็อกแท็กของไรลีย์ที่เอลลี่เก็บไว้ดูต่างหน้าด้วย พร้อมกับเลือกช่วงที่เอลลี่ต้องหาทางปฐมพยาบาลโจลที่บาดเจ็บสาหัสในการเล่าเรื่องแบบย้อนอดีตถึงเอลลี่ โดยใช้ศูนย์การค้า 2 แห่งเป็นโลเคชั่น และใช้วิธีเล่าเรื่องแบบต่างกรรม ต่างวาระ เพื่อให้เกิดความกลมกลืนกันตอนนำเสนอ

ประเด็นความรักของตัวละคร LGBT ใน Left Behind ได้รับคำวิจารณ์จากสื่อเกมต่าง ๆ ไปในทางบวกเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งบรรดาสื่อมองว่าปมความรักระหว่างเอลลี่และไรลีย์ได้ช่วยให้พวกเขาเข้าใจรูปแบบความสัมพันธ์ ความผูกพันของโจลและเอลลี่มีต่อกันได้มากขึ้น นอกจากนี้ ฉากจูบกันของเอลลี่กับไรลีย์ก็เหมือนเป็นตัวแทนการแสดงความรักที่ผสมผสานกันของเรื่องเพศและมิตรภาพ แม้ว่าตัว DLC จะมีความยากไม่มากนัก แต่ด้วยการเล่าที่กระชับและมีชั้นเชิงก็ช่วยให้ผู้เล่นรู้สึกอิ่มไปกับเนื้อเรื่องได้เต็มที่

เนื้อเรื่อง (สปอยล์)

American Dreams

วันหนึ่ง ณ โรงเรียนประจำแห่งหนึ่งในเขตกักกันของเมืองบอสตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เอลลี่ได้มีเรื่องทะเลาะวิวาทกับกลุ่มเด็กผู้ชายที่เข้ามาขโมยข้าวของของเธอ จังหวะนั้น ไรลีย์ เด็กสาวอีกคนที่เห็นเหตุการณ์เลยพุ่งเข้ามาช่วยและบอกให้เอลลี่รีบหนีไปก่อน ทว่าเอลลี่ก็ถูกรวบตัวไว้ได้และโดนใช้ให้ทำเวร ต่อมาเอลลี่ก็พบว่าไรลีย์ได้ฉวยโอกาสในช่วงชุลมุนแอบฉกวอล์คแมน (ซาวด์อะเบาท์) ของเธอไป จึงตามไปทวงของของเธอคืน ซึ่งไรลีย์ที่โดนจับได้ก็ต้องยอมคืนในที่สุด

กลางดึกคืนนั้น เอลลี่พลันเห็นไรลีย์แอบย่องหนีออกไปจากโรงเรียน เลยขอเธอตามไปด้วย ไม่นานนัก ทั้งคู่ก็พบว่ากลุ่มหิ้งห้อย (ไฟร์ฟลาย) ที่เป็นกองกำลังปฏิวัติ ได้ปะทะกับกองกำลังเจ้าหน้าที่ของรัฐอยู่ไม่ไกลจากจุดที่พวกตนอยู่ เอลลี่กับไรลีย์เลยตามไปดู พอถึงที่เกิดเหตุ สถานการณ์ที่เกิดขึ้นคือคนของไฟร์ฟลายบาดเจ็บหนักและกำลังเสียเปรียบ ไรลีย์จึงปาระเบิดควันเข้าไปในฝูงเจ้าหน้าที่ แล้วรีบเข้าไปช่วยกลุ่มไฟร์ฟลายจนรอดออกมาได้

หลังหนีออกมาแล้ว เอลลี่กับไรลีย์ก็โดนคนของไฟร์ฟลายอีกกลุ่มควบคุมตัวไว้ เคราะห์ดีที่ มาร์ลีน หัวหน้าของกลุ่มไฟร์ฟลายเกิดจำเอลลี่ได้ เลยปล่อยตัวเธอเป็นอิสระ ในขณะที่ไรลีย์ก็ร้องขอเข้าร่วมกลุ่มไฟร์ฟลายด้วยแต่ถูกมาร์ลีนปฏิเสธ เลยเกิดการโต้เถียงกัน เรื่องทำท่าจะบานปลายเมื่อมาร์ลีนชักปืนขู่ไรลีย์ เอลลี่พยายามเข้ามาขวาง พร้อมกับความสงสัยที่ว่าทำไมมาร์ลีนถึงรู้จักเธอ มาร์ลีนเผยว่าเธอกับแม่ของเอลลี่นั้นเป็นเพื่อนกัน และเธอก็เคยให้คำมั่นสัญญากับแม่ของเอลลี่ด้วยว่าจะคอยดูแลเอลลี่ให้ เอลลี่อยากจะรู้เรื่องราวเกี่ยวกับแม่ของเธอมากกว่านี้ แต่มาร์ลีนขอให้พวกเธอหนีไปก่อน

สุดท้ายเอลลี่กับไรลีย์ก็มาคิดทบทวนว่าจะหนีออกไปจากเขตกักกันกันดีมั้ย เอลลี่เองก็อยากออกไปพบมาร์ลีนอีกครั้ง ทว่าไรลีย์ก็เตือนว่าหากแอบหนีออกไปแล้วถูกจับได้ก็ต้องโดนเจ้าหน้าที่ยิงตายสถานเดียว จึงคอตกแล้วยอมกลับเข้าไปในโรงเรียนแต่โดยดี

Left Behind

หลายสัปดาห์ก่อนที่เอลลี่จะพบกับโจลในเนื้อเรื่องหลัก ระหว่างที่เธอกำลังนอนหลับอยู่ในหอพักของโรงเรียนประจำ ไรลีย์ เพื่อนสาวที่หายหน้าไปนานได้โผล่มาเซอร์ไพรส์เอลลี่กลางดึก โดยไรลีย์บอกว่าตัวเธอได้ไปเข้าร่วมกลุ่มไฟร์ฟลายเรียบร้อยแล้ว แต่เธอก็อุตส่าห์ยอมแหกกฎของกลุ่มเพื่อแอบมาหาเพื่อนรักเป็นการเฉพาะ

ไรลีย์เอ่ยปากชวนเอลลี่ไปเดินสำรวจศูนย์การค้าที่ถูกทิ้งร้างแห่งหนึ่ง และช่วงที่อยู่ในนั้น เอลลี่ก็บอกกับไรลีย์ว่าเธอเคารพในการตัดสินใจของเพื่อนที่เลือกเข้าร่วมกับไฟร์ฟลายส์ เพราะนั่นเป็นความต้องการของไรลีย์มานานแล้ว ทว่าสุดท้ายเอลลี่ก็ไม่อาจฝืนความรู้สึกตัวเองที่มีต่อไรลีย์ได้ พร้อมกับเอ่ยปากขอร้องไม่ให้ไรลีย์จากเธอไปไหนอีก และจูบไรลีย์เป็นการแสดงความรู้สึกในใจทั้งหมดว่าเอลลี่ไม่ได้คิดกับเธอแค่เพื่อน ไรลีย์ที่รู้สึกเช่นเดียวกันจึงดึงสายด็อกแท็กของกลุ่มไฟร์ฟลายออกจากคอทันที

น่าเสียดายที่เวลาแห่งความสุขของทั้งคู่ช่างสั้นนัก เมื่อเหล่าผู้ติดเชื้อดันได้ยินเสียงดนตรีที่เอลลี่กับไรลีย์เปิดเพื่อเต้นรำกันจนได้ ทั้งสองเลยต้องรีบวิ่งหนีเอาตัวรอดอย่างสุดชีวิต ก่อนที่จะพลาดท่าโดนพวกมันกัดกันคนละแผล

เอลลี่กับไรลีย์นั่งหมดอาลัยตายอยาก เนื่องจากรู้ดีว่าตัวเองต่างก็เหลือเวลาไม่มากก่อนที่จะกลายร่างเป็นรันเนอร์ (คำเรียกผู้ติดเชื้อระยะแรก) ไรลีย์ที่ถือปืนอยู่ในมือจึงเสนอทางออกขึ้นมา 2 อย่าง อย่างแรกคือใช้ลูกปืนจบชีวิตพวกตนกันตรงนี้ หรือจะใช้เวลาที่เหลือทั้งหมดอยู่ด้วยกันกระทั่งวาระสุดท้าย แม้ว่าทั้งคู่ยินดีเลือกอย่างหลัง แต่ผู้เล่นอย่างเราก็ทราบกันดีจากเนื้อเรื่องหลักแล้วว่ามีเพียงเอลลี่ที่รอดชีวิตมาได้ เพราะผลของภูมิคุ้มกันเชื้อ Cordyceps ที่มีอยู่ในร่างกายเอลลี่นั่นเอง