รีวิวเกม Contra: Rogue Corps – เดิมพันครั้งใหม่กับสงครามเอเลี่ยน

ผู้พัฒนา: Konami, Toylogic
แพลตฟอร์ม: PS4, Xbox One, Switch, PC (ทีมงานทำการรีวิวจากเวอร์ชั่น PS4)

เป็นเวลากว่า 8 ปีแล้วนะครับ นับตั้งแต่ภาคล่าสุดของซีรีส์ Contra อย่าง Hard Corps: Uprising ได้วางจำหน่าย และจากนั้นมาซีรีส์นี้ก็เงียบหายไปจากสารบบอย่างยาวนาน กระทั่ง Konami ตัดสินใจนำมาปัดฝุ่นด้วยการทำภาคใหม่อีกครั้งที่มีชื่อเต็มๆ ว่า Contra: Rogue Corps พร้อมกับแปลงโฉมแนวเกมเป็นรูปแบบใหม่ สลัดคราบของเกมชู้ตติ้งลุยด้านข้างแบบ 2D จนหมดสิ้น ที่ทิ้งคำถามแก่ผู้เล่นทั้งที่เป็นแฟนขาประจำของซีรีส์และผู้เล่นหน้าใหม่ว่า ความกล้าที่จะทำอะไรใหม่ๆ ในครั้งนี้จะออกมาเวิร์คหรือไม่กันแน่

เนื้อหาของภาค Rogue Corps จะเป็นเหตุการณ์ไม่กี่ปีหลังจากเกม Contra III: The Alien Wars ที่เคยลงให้กับเครื่อง Super Famicom หรือ SNES เมื่อ 27 ปีก่อนนู้น โดยกล่าวถึงเมือง Damned City มหานครอันเต็มไปด้วยอสุรกายที่มีความสามารถในการสร้างความเสียหายต่อสภาพจิตใจของผู้ที่ย่างกรายเข้าไป ซึ่งตัวละครหลัก 4 ตัวในภาคนี้ก็ดันรอดจากมหันตภัยในเมืองมาได้ จึงสบช่องทางในการสร้างรายได้ด้วยการต่อสู้และกอบโกยเอาทรัพย์สินมีค่าจากเมือง Damned City กลับไปนั่นเอง

อย่างที่ได้เกริ่นไปในข้างต้นว่า Rogue Corps มีการปรับโฉมของเกมเพลย์เป็นแนวใหม่ กล่าวคือตัวเกมจะมีองค์ประกอบของความเป็นเกมแนว RPG เข้ามาเล็กน้อยครับ อย่างแรกเลยคือการอัพเกรดอาวุธและตัวละครที่ผู้เล่นต้องนำเงินที่ได้จากการลุยแต่ละฉากมาใช้จ่ายเป็นค่าอัพเกรดในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มพลังโจมตีหรือลดเวลาคูลดาวน์ของอาวุธ นี่ถือเป็นข้อดีเพียงไม่กี่จุดที่พบเจอในเกมนี้ เพราะอย่างน้อยมันก็ทำให้เกมดูมีเป้าหมายให้ทำมากกว่าการกวาดล้างศัตรูให้จบๆ ไป

ถึงกระนั้น ความมันส์ในการยิงศัตรูก็ต้องมาชะงักเพราะระบบโอเวอร์ฮีทของอาวุธนี่แหละครับ เพราะในภาค Rogue Corps นั้นเราไม่สามารถกดยิงปืนต่อเนื่องยาวๆ แบบภาคก่อนได้อีกต่อไป เมื่อไหร่ก็ตามที่เรายิงปืนนานจนโอเวอร์ฮีท ก็ต้องรอให้ปืนทำการคูลดาวน์เสียก่อนจึงจะยิงต่อได้ ทว่าเกมก็ยังมีอาวุธเสริมให้เราหยิบสลับมาใช้ระหว่างรอคูลดาวน์ของปืนหลัก แต่มันก็ยังมีตัวเปรียบเทียบคือภาค The Alien Wars อยู่ดีที่สามารถสลับปืนได้ แถมไม่มีระบบคูลดาวน์ให้ทรมานใจด้วย

นอกจากนี้ การดีไซน์ฉากรวมถึงตัวละครก็เล่นง่ายเกินไปหน่อย เนื่องจากในหลายๆ ช่วงของเกม ทีมงานดันใช้วิธีรียูสบ่อยมาก บางฉากใช้การเปลี่ยนจุดเริ่มต้น เปลี่ยนเส้นทางการลุย เปลี่ยนศัตรูที่จะโผล่ในฉากนั้น แล้วก็ปล่อยมาให้เราเล่นกันดื้อๆ อย่างนั้นเลย บ่อยครั้งที่ศัตรูนึกจะโผล่ก็โผล่แบบไม่มีปี่มีขลุ่ย เลยทำให้การสู้กับพวกมันดูมั่วเหลือเกิน ทั้งกระสุนของเรากับปริมาณของพวกมัน

หากดูรวมๆ แล้ว เรายังพอเห็นได้ว่าทีมงานมีความตั้งใจที่จะคงไว้ซึ่งกลิ่นอายบางอย่างของเกมซีรีส์ Contra อยู่นะครับ แต่การไปเปลี่ยนโครงสร้างของเกมเพลย์ใหม่หมดโดยที่ไม่มีการวางแผนอย่างรอบคอบเสียก่อน มันเลยกลายเป็นผลเสียต่อเกมอย่างมหาศาล ทำให้ตัวเกมมีข้อบกพร่องยุบยับเต็มไปหมด ดังนั้นการจะเล่นเกมนี้ให้พอเห็นความสนุกได้ เราอาจต้องละทิ้งความคาดหวังว่าซีรีส์ Contra ต้องเป็นอย่างไรไปเสียก่อน พร้อมทั้งปล่อยวางว่าเกมที่อยู่ตรงหน้าที่เกมแอ็กชั่นชู้ตติ้งที่เล่นเอาพอเพลินๆ ได้เกมนึงไปแทน

จุดเด่น

+ ระบบอัพเกรดทำให้ตัวเกมดูมีมิติ มีอะไรให้ผู้เล่นทำมากกว่าตะลุยเรื่อยเปื่อยเหมือนภาคก่อนๆ

จุดด้อย

– กราฟิกตกยุคขนานแท้ เล่นแล้วแทบไม่อยากเชื่อสายตาว่านี่คือเกมในยุค PS4
– งานดีไซน์ซ้ำซาก ทั้งด้านการออกแบบฉากและตัวละคร พบการรียูสในเกมเกลื่อนมาก
– ระบบโอเวอร์ฮีททำให้เกมขาดความต่อเนื่อง และเสียอรรถรสของเกมซีรีส์ Contra แทบเกลี้ยง
– ขณะยิงสู้กับเอเลี่ยนที่มาเป็นฝูง สถานการณ์จะนัวและมั่วมาก ยิ่งจำนวนของพวกมันมาผสมรวมกับกระสุนที่เราสาดใส่ไม่ยั้ง ไม่ว่าใครก็น่าจะเล่นไปตาลายไปแน่ๆ

สรุป

เอาเข้าจริงๆ เกมนี้ก็ไม่ได้เลวร้ายหรอกครับ เพียงแต่เนื้องานที่ออกมามันชวนให้ผู้เขียนรู้สึกผิดหวังมากก็เท่านั้นเอง การที่มีความคิดที่จะเปลี่ยนโฉมซีรีส์นั้นไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด เพราะซีรีส์อื่นๆ ที่ผ่านการโมดิฟายตัวเองจนออกมาประสบความสำเร็จก็มีอยู่เยอะแยะ เพียงแต่เกมนี้ดันทำไม่ได้ในระดับนั้น และก็หวั่นอยู่เหมือนกันว่าภาคนี้จะกลายเป็นจุดพลิกผันทำให้โอกาสการทำภาคต่อของซีรีส์ Contra ดูริบหรี่เลยก็เป็นได้