Far Cry 6 กับความรู้สึกแรกหลังแบกปืนแท็กทีมจระเข้น้อยไล่บวกทหารจอมทรราช

Play Video

Far Cry 6 ภาคใหม่ของเกม FPS แนว Open World ชื่อดังจาก Ubisoft ใกล้จะถึงเวลาวางจำหน่ายเข้ามาทุกขณะแล้วครับ ซึ่งตัวเกมภาคนี้สำหรับประเทศไทย ผมรู้สึกเหมือนหลายๆ คนจะให้ความสนใจเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะด้วยตัวอย่างพากย์ไทยที่ออกมา หรือการประกาศว่ามีซับไตเติ้ลภาษาไทยภายในเกม รวมไปถึงเซ็ตติ้งของเกมที่ดูจะล้อไปกับสถานการณ์ในชีวิตจริงอยู่เนืองๆ จนแม้แต่ผมเองก็ต้องยอมรับว่าให้ความสนใจกับภาคนี้อยู่ไม่น้อย หลังค่อนข้างผิดหวังกับภาค 5 มาในระดับหนึ่ง และคาดว่าระหว่างเล่นไปก็คงจะอินกับมันเป็นพิเศษ

โดยเมื่อช่วงกลางเดือนที่แล้ว ทางผมในฐานะทีมงาน Online Station ก็ได้รับเกียรติจากทาง Ubisoft ให้เข้าทดสอบตัวเกมล่วงหน้าครับ โดยเป็นการรีโมทย์เพลย์ด้วยเทคโนโลยี Parsec ที่ทำการสตรีมเกมจาก Ubisoft มาให้เราได้เล่นในเครื่องของเราเอง ซึ่งเป็นวิธีเดียวกับตอนที่ผมได้ทดสอบ Assassin’s Creed Valhalla และ Watch_Dogs Legion เมื่อปีก่อนครับ แต่ต้องขอชมว่ามาปีนี้ระบบถูกพัฒนาขึ้นมาก เกมลื่นขึ้น อินพุทแลคลดลง เพิ่มพูนประสบการณ์การเล่นได้อย่างดี ถือเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีน่าจับตามองของ Ubisoft เลยทีเดียวเชียว

โดยการทดสอบนี้ได้ถูกแบ่งเป็น 2 ช่วงด้วยกัน ช่วงแรกจะได้เห็นความเป็นมาของตัวเอกอย่าง Dani Rojas ก่อนที่จะตัดสินใจจับอาวุธขึ้นสู้ กับช่วงกลางๆ เกมที่ของเริ่มฟูลและมีอะไรให้เล่นได้มากขึ้น โดยที่จริงทางทีมงานแจ้งมาว่ามีโหมด Co-op ที่สามารถเข้าทดสอบได้ด้วย แต่เพราะผมมาคนเดียวก็เลยไม่ได้ทดลองอะไรโหมดนี้และโซโล่แต่เพียงโหมดเล่นคนเดียวเป็นหลักครับ แต่อยากบอกเลยว่าเท่านี้ก็เดือดดาลกับความมันส์แล้วล่ะ!

เซ็ตติ้งและโทนของเกมที่กลับมาเป็นหมู่เกาะเขตร้อนเน้นสีสันฉูดฉาดมีความคล้ายคลึงภาค 3 ทำให้ผมรู้สึกบวกกับมันตั้งแต่แรก เพราะยอมรับว่าผมไม่ค่อยชอบทัศนียภาพของภาค 5 เท่าไหร่เพราะส่วนตัวรู้สึกว่ามันจืดชืดไปหน่อย โดยตัวเกมที่เปิดอย่างเข้มทำให้เราเห็นสถานการณ์ภายในเกมซึ่งแลดูแล้วรู้สึกคับคล้ายคลับคลากับบางประเทศเหลือเกิน เราได้เห็นถึงความจริงจังของโทน และสัมผัสได้ทันทีว่าเส้นเรื่องหลักๆ ของมันน่าจะเข้มข้นแน่ๆ ถึงอย่างนั้นพอเข้าจุดที่เป็น Open World ตัวเกมก็ปรับโทนราวกับบอกเป็นนัยๆ ว่าฉันยังเป็น Far Cry เกมเดิม ที่หลายๆ คนคุ้นเคยนั่นแหละ

โดยเท่าที่ได้สัมผัสไปราวๆ เกือบๆ 4 ชั่วโมงผมคิดว่าสามารถบอกได้ว่าผมน่าจะชอบภาคนี้มากกว่าภาค 5 ไม่ว่าจะเป็นภูมิทัศน์ที่ฉูดฉาดและหลากหลายกว่า ตัวละครหลายๆ ตัวมีความน่าสนใจ A.I. ที่ดูดุดันขึ้น ท้าทายมากขึ้น อาจไม่ได้ยากขนาดต้องเล่นแบบแทคติคอลจ๋า และก็ไม่ได้ฉลาดมากมายอะไร แต่ในภาพรวมถ้าไม่โผล่มาตายแบบโง่มากๆ อยู่บ่อยๆ ผมก็แฮปปี้แล้วล่ะ

อีกหนึ่งสีสันที่ดูจะถูกให้ความสัมคัญมากขึ้นก็คือเหล่าสัตว์โลกคู่หู ที่บางตัวอาจได้มาช่วยตามเนื้อเรื่อง บางตัวก็ต้องไปเล่นเนื้อเรื่องเสริมเพื่อปลดล็อคมันมาใช้ ส่วนนี้เป็นตัวปรับโทนอารมณ์ที่ลดความสมจริงของเกมลง แต่เพิ่มความบ้าๆ บวมๆ ให้กับเกมมากขึ้น ซึ่งส่วนตัวแล้วผมชอบมากๆ อย่างเควสต์ที่ทางเกมแนะนำให้ทำเพื่อเอาไก่โต้งจอมทำลายล้างมาเป็นพวกนี่ แทบจะเป็นอะไรที่ชอบมากสุดในเดโมนี้เลยครับ สนุก ระห่ำ และบ้าบอดีจริงๆ

ในส่วนของอาวุธมีค่อนข้างหลากหลาย ทว่าแต่ละอย่างก็ไม่ได้ปรับแต่งได้เยอะขนาดนั้น จะมีที่น่าสนใจก็เจ้าอุปกรณ์ติดหลังเรานี่แหละครับ ที่สามารถอัปเกรด ปรับแต่ง หรือสร้างชนิดใหม่ซึ่งมีประโยชน์ใช้สอยต่างกันโดยสิ้นเชิงก็ย่อมได้เช่นกัน และมันช่วยเพิ่มออปชั่นในแง่ของกันเพลย์ได้มากมายเลยทีเดียว ข้อสังเกตอย่างหนึ่งคือศัตรูในภาคนี้จะแพ้รูปแบบกระสุนต่างกันออกไป คล้ายกับว่าตัวเกมพยายามบังคับกลายๆ ให้เราใส่ใจในอาวุธแต่ละชนิดมากขึ้น แต่ถึงจะเป็นกระสุนที่แพ้ทางถ้ากระหน่ำย้ำๆ ยังไงก็ตายอยู่ดีแค่ล้มช้ากว่าพอสมควรก็เท่านั้น

ในเดโมที่ได้เทสต์นี้ภูมิประเทศส่วนใหญ่จะเป็นป่าเขากับบ้านตามชนบท ยังไม่ได้เห็นฉากในเมืองใหญ่ๆ มากนัก เลยยังบอกไม่ได้ว่าการสู้รบในเมือง หรือรายละเอียดฉากจะเป็นอย่่างไรบ้าง แต่ผมสามารถบอกได้เลยว่าภาคนี้น่าคาดหวังมากๆ และเราก็หวังว่ามันจะออกมาดีจริงๆ อย่างที่คาดหวังครับ

คำที่เกี่ยวข้อง

สมัครรับข่าว OS

คุณอาจสนใจเรื่องนี้