รีวิว A Way Out – คนเดียวหัวหาย สองคนช่วยกันวอดวาย

ผู้พัฒนา: Hazelight Studios 
ผู้จัดจำหน่าย: Electronic Arts 
แพลตฟอร์ม: PS4, Xbox One, PC
แนวเกม: แอ็กชั่น-ผจญภัย (Co-op)

ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีที่แล้ว เกม Brothers: A Tale of Two Sons นั้นเคยสร้างปรากฏการณ์ด้านวงการเกมมาแล้วด้วยการกวาดรางวัลเกมยอดเยี่ยมมามากกว่า 50 รางวัล และกลายเป็นเกมที่ทำให้ชื่อ โจเซฟ ฟาเรส (Josef Fares) มือเขียนบทและผู้กำกับของเกมนี้กลายเป็นนักพัฒนาเกมที่น่าจับตามองขึ้นมาทันที กระทั่งในงาน E3 2017 ในปีที่ผ่านมา ผู้กำกับชาวเลบานอน-สวีเดนคนนี้ก็ได้หวนกลับมาอีกครั้งพร้อมกับเกม A Way Out ซึ่งคราวนี้กลายมาเป็นเกม Co-op แบบเต็มรูปแบบ พร้อมให้คุณกับเพื่อนอีก 1 คนมาร่วมผจญภัยไปพร้อมๆ กัน และถึงแม้ตัวเกมจะอยู่กับค่าย EA ซึ่งในปีที่แล้วถือว่ามีข่าวฉาวออกมาพอสมควร แต่ด้วยฝีไม้ลายมือของผู้กำกับคนนี้ก็ไม่ได้ทำให้ผิดหวังเลยจริงๆ ค่ะ

A Way Out นั้นเป็นเกม Co-op แนวแอ็กชั่น-ผจญภัยที่จะพาผู้เล่นไปรู้จักกับนักโทษสองคน นั่นก็คือ ลีโอ (Leo) และ วินเซนต์ (Vincent) ขึ้นชื่อว่านักโทษแล้ว หากจะให้กินๆ นอนๆ กันอยู่ในคุกเฉยๆ เกมก็คงจะไม่สนุกแน่… ดังนั้น เป้าหมายของตัวละครทั้งสองก็คือการแหกคุกออกมาเพื่อตามหาวายร้ายคนหนึ่งที่ชื่อว่า ฮาร์วีย์ (Harvey) ซึ่งถือเป็นชนวนสำคัญที่ทำให้ตัวละครทั้งสองต้องมาติดแหง่กกันอยู่ในคุกให้ได้ และอีกเป้าหมายหนึ่งก็คือการกลับไปหาครอบครัวที่พวกตนรักอย่างสุดหัวใจนั่นเอง

อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วในย่อหน้าแรกว่าเกมนี้เป็นเกม Co-op แบบเต็มรูปแบบ ความหมายของคำนี้ก็คือเราจะไม่สามารถเล่นเกมนี้ด้วยตัวคนเดียวได้โดยเด็ดขาดค่ะ ทางเดียวที่จะเล่นเกมนี้ได้ก็คือการหาเพื่อนสักคนมานั่งเล่นบนโซฟาด้วยกัน หรือจะชวนเพื่อนที่อยู่ไกลบ้านมาเล่นผ่านระบบ Online ด้วยกันก็ได้ ซึ่งงานนี้ผู้กำกับเกมอย่างคุณโจเซฟก็ใจป้ำเสียเหลือเกิน เพราะการที่จะเล่นเกมนี้ได้นั้น ผู้เล่นทั้งสองไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของเกมด้วยกันทั้งสองคนก็ได้ เพียงแค่ใครคนใดคนหนึ่งมีเกมเป็นของตนเอง ผู้เล่นอีกคนก็จะสามารถตอบรับคำเชิญเข้ามาเล่นได้ทันทีตั้งแต่ต้นยันจบเกม สิ่งที่ต้องทำก็มีเพียงแค่ไปโหลดตัวเกมแบบ Free Trial หรือตัวเกมแบบ Demo มาให้เรียบร้อย เพียงเท่านี้คุณก็จะสามารถร่วมเล่นไปกับคู่หูดูโอ้ของคุณได้แล้วโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเลยแม้แต่บาทเดียว ซึ่งก็ถือว่าเป็นระบบที่สะดวกสบายไม่น้อยเลยทีเดียวค่ะ

จุดเด่นหลักๆ ที่เรียกได้ว่าเป็นอรรถรสของเกมนี้เลยก็คือเนื้อเรื่องของตัวเกมนั่นเอง ด้วยความที่มีตัวละครเอกด้วยกันถึง 2 ตัว เนื้อเรื่องทั้งหมดภายในเกมจึงต้องโฟกัสไปที่เรื่องราวความเป็นมาของทั้งสอง ตั้งแต่ลักษณะนิสัยที่จะคอยสื่อออกมาผ่านทางการกระทำและคำพูดต่างๆ ไปจนถึงความเป็นมา สาเหตุที่แน่ชัดว่าทำไมทั้งคู่ถึงต้องมาติดคุกด้วยกันแบบนี้ ซึ่งตัวเกมจะเล่าเรื่องราวโดยการพาเราย้อนอดีตไปเป็นช่วงๆ สลับกับการบอกเล่าเรื่องราวภายในปัจจุบัน และในระหว่างทางนี้เอง เราก็จะได้เห็นความสัมพันธ์ที่ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปของตัวละครทั้งสองตัวด้วย และที่สำคัญ เกมนี้ยังมีจุดหักมุมใหญ่ๆ อีกหนึ่งจุด ที่พนันได้เลยว่าถ้าหากได้ลองเล่นแล้วจะต้องอ้าปากหวอกันทุกคนแน่นอน อยากรู้เหรอ? ไปลองเล่นดูเลยจ้ะ…

อ่านมาถึงจุดนี้ หลายๆ คนอาจจะเริ่มกังวลแล้วว่าการที่มีตัวละครหลักถึงสองตัวจะทำให้เรื่องราวมันดูยุ่งเหยิงไปหรือเปล่า ขอบอกให้มั่นใจว่าไม่ต้องห่วงเลยค่ะ แม้ตัวเกมจะทำการแบ่งผู้เล่นทั้งสองออกจากกันด้วยระบบ Split Screen อยู่ตลอดเวลา แต่หากเนื้อเรื่องในช่วงนั้นกำลังเน้นไปที่ตัวละครตัวใด ตัวเกมจะทำการโฟกัสไปที่ตัวละครตัวนั้นด้วยการเพิ่มเสียงของฝั่งดังกล่าว หรือการทำให้จอของผู้เล่นอีกคนค่อยๆ จางหายไปทันที แถมในบางช่วงของตัวเกมยังมีการใช้มุมกล้องแบบ One-shot ที่เป็นเหมือนการถ่ายหนังแบบยาวๆ ไม่ตัดภาพเลยอีกด้วย ซึ่งจุดนี้ก็ต้องขอชมทางทีมพัฒนาเลยว่าทำออกมาได้ลื่นไหลมากๆ ไม่มีติดขัดเลยแม้แต่น้อย

ระบบการเล่นของเกมนี้ก็ถือว่าดีไม่แพ้เนื้อเรื่องเหมือนกัน รูปแบบการเล่นนั้นจะออกมาในรูปแบบกึ่งๆ Point & Click และการกดปุ่ม Quick Time Event ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจของผู้เล่นทั้งสองคน โดยผู้เล่นทั้งสองจะต้องทำการสำรวจสิ่งของต่างๆ ในฉากเพื่อช่วยกันหาทางแก้พัซเซิลของตัวเกมให้ได้ ซึ่งพัซเซิลภายในเกมนั้นก็จะแตกต่างกันออกไปตามสถานการณ์ เช่นในช่วงแรกๆ ก็จะเน้นไปที่การแหกคุกเป็นส่วนใหญ่ และที่เพิ่มความสนุกให้กับผู้เล่นได้ทุกครั้งก็คือ การที่ตัวเกมให้อิสระในการสำรวจและบังคับตัวละครได้อย่างเต็มที่ ไม่จำเป็นว่าเราจะต้องทำภารกิจอย่างเดียวเสมอไป เราจะแบ่งให้เพื่อนเราเป็นคนไปทำตามภารกิจ ส่วนเราก็เดินเล่นชมนกชมไม้ไปตามทางก็ยังได้ ซึ่งข้อดีอีกอย่างของเกมนี้ก็คือเราสามารถกดดูปฏิกิริยาตัวละครกับสิ่งของต่างๆ ได้แทบทุกชิ้น ไม่เว้นแม้แต่สัตว์ต่างๆ ก็ด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้ ตัวเกมยังมีการแฝงรูปแบบการเล่นแบบต่างๆ เอาไว้ภายในเกมด้วย เช่นการขับรถหนีตำรวจ การพายเรือ การโดดร่ม แม้กระทั่งระบบยอดฮิตอย่างการลอบเร้นเข้าไปจัดการศัตรูหรือการบุกตะลุยฝ่าดงกระสุนในรูปแบบชู้ตติ้งมุมมองบุคคลที่ 3 ก็มีอยู่ในเกมนี้ด้วยเช่นกัน หรือสำหรับใครที่อยากหาอะไรฆ่าเวลาไปเรื่อยระหว่างเล่น ตัวเกมก็จะมีมินิเกมต่างๆ ให้ผู้เล่นทั้งคู่ได้ลองประมือกัน ตั้งแต่การโยนเกือกม้า ปาเป้า ตีเบสบอล บอร์ดเกม ไปจนถึงการเล่นเกมตู้ Arcade แข่งกัน เรียกได้ว่าเป็นเสน่ห์อีกอย่างของเกมนี้ได้เลยค่ะ

จุดด้อยเพียงไม่กี่อย่างของเกมนี้เห็นจะเป็นในเรื่องของความท้าทายที่ไม่ค่อยจะมีเสียเท่าไหร่ ซึ่งใครที่เป็นผู้เล่นสายฮาร์ดคอร์นั้นอาจจะเลือกมองข้ามเกมนี้ไปเลย เพราะถึงแม้ตัวเกมจะมีระบบที่หลากหลายรวมถึงมีระบบการเล่นแบบ TPS แฝงเข้ามาด้วย แต่ตัวเกมนั้นไม่มีระดับความยากให้เลือก แถมปืนทุกปืนภายในเกมยังสามารถใช้กระสุนได้แบบไม่มีจำกัดด้วย หากพูดถึงเรื่องความสมจริงแล้ว ข้อนี้ก็ชวนให้รู้สึกขัดใจได้อยู่เหมือนกัน

ข้อเสียอีกอย่างของเกมนี้ก็คือเรื่องของ Replay Value ที่ต่ำมาก แม้ว่าตัวเกมจะมีทางเลือกให้ผู้เล่นทั้งสองได้เลือกใช้กันระหว่างทางอยู่บ่อยๆ แต่ตอนจบภายในเกมกลับมีอยู่เพียงแค่ 2 แบบเท่านั้น แถมทางเลือกต่างๆ ที่มีให้ดันไม่มีผลอะไรกับฉากจบเสียด้วย สิ่งที่เปลี่ยนไปมีเพียงแค่วิธีที่เราใช้สำหรับผ่านภารกิจในตอนนั้นเท่านั้น ซึ่งถ้าหากใครที่เล่นเกมจนจบและรู้เรื่องราวทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว คุณจะพบว่าการกลับมาเล่นเกมนี้อีกรอบก็เหมือนกับการนั่งดูหนังเรื่องเดิมซ้ำไม่มีผิด ถ้าเป็นคนขี้เบื่อก็คงจะเซ็งไปเหมือนกัน…

จุดเด่น

– การบอกเล่าเรื่องราวที่เหมือนกับได้นั่งดูภาพยนตร์ระดับมาสเตอร์พีซเรื่องหนึ่ง มีการผูกเรื่องราวได้ดี ลื่นไหล ชวนติดตาม ทำให้ผู้เล่นสามารถอินไปด้วยได้ง่าย และยังสามารถบริหารมุมกล้องในช็อตต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เล่นแล้วอยากจะอุทานชมว่า ‘เฮ้ย เจ๋งว่ะ!’
– รูปแบบการเล่นที่มีความหลากหลาย ไม่จำเจ รองรับผู้เล่นได้ทุกแนว
– มินิเกมเยอะชนิดที่ว่าบางทีก็อยู่ในฉากเดิมเป็นชั่วโมงๆ เพื่อเล่นมินิเกมแข่งกับเพื่อนได้เลย
– เป็นเกม Co-op ที่ทำมาเพื่อการ Co-op อย่างแท้จริง ด้วยระบบที่ไม่บังคับให้ผู้เล่นต้องซื้อเกมด้วยกันทั้งสองคน ทำให้เราสามารถหาเพื่อนเล่นได้ง่ายๆ แถมถ้าหารเงินค่าเกมกับเพื่อนได้ยังถือว่าเป็นกำไรสองชั้นได้อีกด้วย

จุดด้อย

– Replay Value ที่ค่อนข้างต่ำ เนื่องจากเสน่ห์หลักๆ ของเกมอยู่ที่เนื้อเรื่องและจุดหักมุมต่างๆ แถมยังไม่มีของให้คอยสะสมเหมือนเกมอื่นๆ ทำให้ผู้ที่เล่นจบไปแล้วอาจหมดอารมณ์ในการเล่นรอบสองได้
– แม้จะมีรูปแบบการเล่นที่หลากหลาย แต่กลับไปไม่สุดจริงๆ สักทาง เช่นการยิงปืนที่ขาดความสมจริง หรือระบบการเลือกทางเลือกต่างๆ ที่มีผลแค่ภายในภารกิจนั้นๆ เท่านั้น

สรุป

ถ้าคุณมีเพื่อนหรือคู่หูที่ชอบเล่นเกมด้วยกันเป็นประจำล่ะก็ ขอแนะนำให้ลองหาเกมนี้มาเสพดูสักครั้ง รับรองเลยว่าไม่ผิดหวังแน่นอน หรือถ้าใครที่เคยสัมผัส เกม Brothers: A Tale of Two Sons มาแล้ว เกมนี้ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าหยิบมาลองสักครั้งเช่นกัน

คะแนน 8.5/10

คำที่เกี่ยวข้อง

สมัครรับข่าว OS

คุณอาจสนใจเรื่องนี้