รีวิว Warcraft the Beginning ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ จากทีมงาน Online Station แบบจัดเต็ม

     กระแสมาแรงกันจริงๆ สำหรับภาพยนตร์จากเกมอย่าง Warcraft the Beginning ที่พึ่งจะมีงานเปิดตัวรอบ Gala Premier กันไปเมื่อวานนี้ที่ Infinity Hall สยามพารากอน ชั้น 5 แต่ถ้าหากใครที่ได้เห็นรีวิวจากทางเมืองนอกหลายสำนัก ก็จะเห็นว่าคะแนนไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่ จะเป็นอย่างนั้นหรือไม่ ? เนื่องจากทางทีมงาน Online Station ก็ได้ไปดูกันเมื่อวานนี้เหมือนกัน และนี่คือบทวิจารณ์หนังจากคนเล่นเกม เราไม่ใช่นักวิจารณ์หนังแต่เราเป็นคนที่รู้จักเกมนี้กันมาก่อน จะดีหรือแย่ ไปดูกันเลย

    แต่ก่อนที่เราจะไปดูบทวิจารย์ต่างๆ ทาง Online Station มีบทสัมภาษณ์พิเศษจาก คุณปัณณพัฒน์ พรหมสุภา General Manager ของ United International Pictures เกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้กันครับ

Q:ไม่ว่ากระแสตอบรับจะดีหรือไม่ Warcraft จะสร้างภาคต่อหรือไม่

– สำหรับภาพยนตร์  Warcraft ในภาคแรกนี้ทางคนเขียนบท และผู้กำกับได้สร้างให้ภาพยนตร์เดินเรื่องอย่างน่าติดตาม และในแต่ละตัวละครมีปมที่ทำให้เรารู้สึกว่ามันต่อมีอะไรต่อ อย่างเช่นการสืบทายาทของ "โดโรธาน"  หรือการเสียสละของตัวละครภายในภาพยนตร์ ซึ่งผมว่ามันยังทำได้อีกหลายภาค หรืออาจจะทำ Spin off ได้ด้วย

Q:ภาพยนตร์เรื่องนี้ใช้ระยะเวลาสร้างนานแค่ไหน

– ภาพยนตร์เรื่องนี้ส่วนใหญ่แล้วถ่ายทำใน Studio เป็นหลักเฉพาะถ่ายทำก็ 100 กว่าวันแล้ว ส่วนในเรื่องของการใส่ CG นี้ก็ประมาณ 2 ปี แต่สิ่งที่สำคัญคือภาพยนตร์เรื่องนี้ผ่านกระบวนการคิดมาเยอะมาก เนื่องจาก Blizzard ต้องการให้หนังเรื่องนี้เริ่มต้นได้สวยเพราะเชื่อว่าหลายๆ คนรอคอยภาพยนตร์เรื่องนี้นานมาก แต่ความท้าทายของหนังเรื่องนี้อยู่กับกลุ่มที่ไม่ใช่เกมเมอร์ ซึ่งทางเราก็มั่นใจว่าตรงนี้จะไม่เป็นปัญหา เพราะชื่อหนังค่อนข้างที่จะใหญ่มากพอ

Q:ทาง Blizzard มีแผนจะทำภาพยนตร์จากเกมอื่นๆ อีกหรือไม่

– จากประสบการณ์แล้ว เนี้ยน่าจะมีทำต่อเพื่อที่จะต่อยอดหรือ ทำให้คนรู้จักเกมของตัวเองมากขึ้น และเชื่อว่า Warcraft นั้นจะเป็นตัวเปิดตลาดที่ดีให้กับ Blizzard ที่ดี และน่าจะมีเรื่องอื่นๆ ตามออกมาอีก

และนี่คือบทวิจารณ์หนังในมุมมองของ Online Station ครับ

Zatoshi (7/10)

    เอาจริงๆ เป็นภาพยนตร์เรื่องหนึ่งในปีนี้ที่ผมเองค่อนข้างหวังไว้พอสมควร หลังจากที่ได้ดูแล้วก็รู้สึกได้ว่าเป็นหนังที่ดีนะ แต่มันขาดอะไรหลายอย่างมาก หลักๆ คือการเล่าเรื่องที่ถ้าคุณไม่ได้เป็นคนที่รู้เรื่องราวบางอย่างมาก่อน คุณจะมีคำถามในใจในหลายจุดอย่างแน่นอน เพราะตัวหนังเองบางเรื่องไม่ได้เล่าที่มาที่ไปให้รู้เลย พี่แกเล่นตัดทิ้งเพียบจนแอบร้อง "ห๊ะ" ได้ง่ายๆ ดังนั้นผมอยากแนะนำว่า เป็นไปได้ ศึกษาเนื้อเรื่องเบื้องต้นไว้เล็กน้อยที่นอกเหนือจาก "ไอ้เรื่องนี้คือ อ็อคตีกับมนุษย์" จะช่วยให้ดูได้สนุกมากขึ้นกว่าเดิม

    แต่สิ่งที่ Blizzard เจ๋งมาตลอดก็คือ CG ที่พอกลายมาเป็นภาพยนตร์แล้วรู้สึก "ว้าว" มากครับ ฉากต่อสู้รับประกันความสะใจตามสไตล์ความเคยเป็นเกม RTS มาก่อน เราจะได้เห็นการตบตีกันแบบดิบเถื่อนแบบเผ่าอ็อค การสู้รบแบบแผนของเผ่ามนุษย์ ชุดเกราะที่เหมือนหลุดออกมาจากเกม ทั้งหมดทั้งมวลดูเหมือนเคารพเหล่าผู้ชื่นชอบ Warcraft กันอยู่ไม่น้อยนะ

    สรุปสุดท้ายคือ ผมแอบผิดหวังเล็กน้อยก็จริง แต่ถือว่าทำออกมาได้ดีมากในระดับหนึ่งจนถึงขั้นดี ไม่ได้เลวร้ายเสียขนาดนั้น สิ่งที่ผมชื่นชอบในเรื่องนี้ก็คือเกียรติยศของเผ่าอ็อค ที่พอดูแล้วจะแบบ โอ้โห้ นี่แหละใช่เลย แนะนำว่าถ้าคุณเป็นคนที่ชื่นชอบเกม ก็ควรที่จะไปดูครับ อ้อ ที่สำคัญ อีสเตอร์เอ๊ก พอสมควรและสอดแทรกมุขฮาๆ ไว้คลายเครียดได้เยอะดีครับ

*แนะนำให้ดู OS Friday ตอนขยี้ข้อมูล Warcraft the Beginning ก่อนดู ที่แปะไว้ด้านบนจะดีมาก

Otaku Musou เซียนโอ๊ตโตะ (7.5/10)

    ส่วนตัวผมชอบตรงความสวยงามในตัวภาพยนตร์ที่สร้างออกมาได้ดีกว่าที่แฟนคลับเกมซีรี่ย์นี้คิดไว้ ทั้งตัวละคร ฉาก และสิ่งก่อสร้างต่างๆ เรียกว่า "Perfect" แต่ในส่วนเนื้อเรื่องอันนี้คงต้องบอกว่าเราควรจะทำการบ้านหรือรู้เรื่องราวมาบ้างเล็กน้อยจะช่วยเสริมอรรถรสในการชมภาพยตร์ได้มากขึ้น ถ้าไม่เคยรู้จัก มาก่อนเสียงส่วนมากจะงงและสงสัยกับบทบาทตัวละคร ซึ่งในตัวภาพยนตร์ไม่ค่อยใส่รายละเอียดในส่วนนี้มามากนัก โดยรวมออกมากลางๆ ครับสำหรับภาพรวมของภาพยนตร์ "Warcraft วอร์คราฟต์ กำเนิดศึกสองพิภพ" แต่ถ้าเป็นแฟนเกมนี้คงอยากได้ภาคต่ออย่างแน่นอนครับ^^

ชาโมคุง (7.5/10)

– หนังสนอง Need ติ่งและแฟนบอยมากๆ ถ้าไม่รู้จักเนื้อเรื่องของจักรวาลในเกมมาก่อน จะรู้สึกไม่สนุกเท่าที่ควร

– มีการเล่าเรื่องก่อนจะเข้าสู่เหตุการณ์ภายในหนัง(หรือเกมภาค1) น้อยมากๆ ถ้าไม่ทำการบ้านมาก่อนคงปะติดปะต่อเรื่องได้ลำบากพอควร รวมไปถึงพวก Gimmick บางอย่างที่หนังใส่มา ถ้าคนไม่เคยเล่นเกมจะสงสัยว่าใส่มาทำไม

– เป็นหนังภาคแรกที่ปูไปยังภาคต่อตามชื่อ แล้วก็ตามระเบียบ ทิ้งปมและข้อสงสัยไว้อีกเพียบ

– เนื้อเรื่องภายในหนังมีการบิดเบือนจากตัวเกมเล็กน้อย โดยเฉพาะเรื่องความสัมพันธ์ของตัวละครบางตัว แต่เนื้อเรื่องหลักก็ยังคงความเหมือนกับตัวต้นฉบับอยู่

– ฉากแอคชั่นเจ๋งมาก เหล่า Orc ดูทรงพลังสุดๆ และ CG ไม่ขี้เหร่แต่อย่างใด แสงสีในฉากสมกับเป็นหนังฟอร์มยักษ์

– การลำดับภาพค่อนข้างแปลก มีความรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ามีการตัดข้ามฉากบางฉากอย่างเพื่อความกระชับ แต่ก็พอเข้าใจ เพราะเวลาฉายของหนังคือ 2 ชั่วโมง อาจต้องรอบลูเรย์ที่เป็นตัวเต็ม

– เพลงประกอบโอเค แต่ไม่สุด

– หลายๆจุดในหนังมีความคล้ายคลึงกับเกม ทั้งภาพ การเคลื่อนไหว และเสียง

    สรุป ควรทำการบ้านก่อนไปดู และพยายามจำหน้า ชื่อ และบทบาทของตัวละครสำคัญเอาไว้ จะได้ไม่งง แต่สำหรับผม เรื่องนี้คือ "หนังจากเกมที่ดีที่สุดบนผืนพิภพ" แล้วครับ

พี่ห้อย ตากล้องแห่ง OS (8/10)

    ฝันที่เป็นจริง สุดยอดหนังจากเกมที่คนเล่นเกมรอคอยมาจนแก่ บางคนมีลูกแล้วก็พึ่งจะได้ดู สร้างออกมาได้แจ่มว้าวเอาใจติ่งอย่างผมมาก เอาใจไปเลยครับ ถ้าตัดเรื่องติ่งออก ฉากบู๊สุดยอดครับอลังการ ถึงจะรู้อยู่แล้วว่าใช้ CG แต่ก็ถูกปั้นออกมาแบบไม่มีกั๊ก หักมุมโคตรโหด เอฟเฟคอลังการดีกว่าหนังตลาดฟอร์มยักษ์หลายเรื่องอีก มุกตลกก็ลงตัวไม่เกลื่อน

    ขอชมผู้จัดงานจริงๆครับ คนที่มาครึ่งๆเป็นคนที่เล่น World of warcraft แน่นอนครับเนื้อเรื่องแน่น กระหายที่จะเห็นจินตนาการของตัวเองถูกสร้างเป็นภาพยนตร์สูง แค่ฉากโลโก้ blizzard เปิดมาในช่วงแรก ก็เรียกเสียงปรบมือลั่นโรงมากๆ ดูเสร็จแล้วอยากกลับไปเล่นเกมและเสพเนื้อเรื่องต่อเลยครับ รอดูภาคต่อๆไปแน่นอน

Mel2ci (7/10)

    ก็จากที่ฝรั่งบอกไว้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ห่วยแตก บอกเลยว่ามันไม่จริง เพราะเนื้อหาน่าติดตามตลอด CG ต่างๆ ภายในภาพยนตร์ทำออกมาดีมากๆ แต่การท้าวความหรือการเล่าเรื่องน้อยไปหน่อย แนะนำว่าให้ทำการบ้านก่อนดูจะดีมากๆ เพราะผมนี่ไปแบบสมองโล่งๆ เลย

ปิดท้ายด้วยคนที่รีวิวยาวที่สุด

ท่านลอร์ดแห่ง OS Dark_Librarian (7.5/10)

    ตัวหนังแฟนเซอร์วิสกันตั้งแต่เริ่มกับฉากที่หากใครเล่นเกมมาก่อนคงคุ้นชินกันดี และจากนั้นจนกระทั่งโลโก้ Blizzard ขึ้นนั้นมีความงานดีที่กระตุ้นต่อมอะดรีนาลีนให้สูบฉีดอยู่ตลอด โดยเฉพาะกับการขึ้น "โลโก้ Blizzard แบบฉบับภาพยนตร์" ที่ผมมองแล้วก็ยิ้ม เพราะนอกจากจะดูเจ๋งแล้ว มันยังให้ความรู้สึกประมาณว่าได้เห็นเพื่อนที่รู้จักกันมานานมายืนอยู่ในจุดสูงสุดจุดหนึ่งของสื่อบันเทิงแล้วนั่นเอง

    แต่อาจจะเพราะจักรวาลของวอร์คราฟต์มันใหญ่และก้าวไกลจนเกินกว่าจะยัดหลายๆ อย่างลงไปในหนัง 2 ชั่วโมงได้หมด ดังนั้นหนังจึงมีปัญหากับการเล่าเรื่องอย่างมาก โดยเฉพาะกับคนที่ในหัวโล่งไม่เคยสัมผัสกับวอร์คราฟต์มาก่อนจะเกิดอาการจับต้นชนปลายไม่ค่อยถูกตลอด 2 ชั่วโมง ราวกับว่าตัวหนังนั้นไม่ได้แคร์อะไรทั้งสิ้นกับคนที่ไม่เคยทำความรู้จักกันมาก่อน ในระดับที่แทบจะเฉดหัวทิ้งเลยทีเดียว และแม้การมีความรู้ระดับพื้นๆ ประดับหัวอยู่บ้าง คุณก็ยังไม่อาจจะเข้าใจรายละเอียดทั้งหมดของมันอยู่ดี ราวกับตัวหนังจะพูดกับเราอยู่ตลอดว่า "ไม่เข้าใจตรงนี้เหรอ? ไม่อธิบายนะ ดูต่อไปเถอะ" ซึ่งถึงที่สุดแล้วหนังก็ไม่มีการย้อนกลับมาขยายความอยู่ดี ไม่ใช่ว่าหนังจะเดินเรื่องเร็ว แค่มันไม่อธิบายรายละเอียดยิบย่อยเลบ เสมือนขับรถด้วยความเร็ว 60 แต่เจอไฟเหลืองแล้วไม่มีทีท่าจะจอดนั่นแล

    ปัญหาใหญ่อีกเรื่องคือการลำดับภาพที่เกือบเข้าขั้นห่วยแตก หลายๆ ฉากตัดฉับกันแบบน่าเกลียด จนรู้สึกอยู่ตลอดเลยว่าทางค่ายไม่ยอมให้หนังยาวเกินกว่านี้ ทั้งๆ ที่หากยึดจาก 2 ชั่วโมงต้นๆ ไปเป็น 2 ชั่วโมงครึ่ง มันน่าจะกลายเป็นผลงานที่ลงตัวกว่านี้แท้ๆ น่าเสียดายจริงๆ

    อย่างไรก็ดีมันยังเป็นหนังที่ดูจบแล้วอยากดู อยากเชียร์ให้มีภาคต่อ ข้อดีของมันคือการที่แทบจะเป็นหนังที่ทรานส์ฟอร์มตัวเองมาจากเกมแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะงานภาพที่ผมชอบมาก เพราะทั้งโทนหนัง, การเล่นสีที่ฉูดฉาดของคอสตูม, CG ต่างๆ ถูกจงใจให้ทำออกมาแบบนี้แต่แรก เหล่าฟุตเมนที่เหมือนหลุดออกมาจากจอถูกเน้นโทนสีนํ้าเงินจนเด่น ชุดจอมเวทสุดลิเก แคมป์พวกออร์ค เวทมนตร์ที่ดูแฟนตาซีจ๋าที่สุดในโลกภาพยนตร์ ตรงนี้เข้าใจเลยว่าทำไมนักวิจารณ์หลายๆ คนอาจไม่ขอบ เพราะมันไม่มีอะไรที่ดูจริงเลย ทุกอย่างล้วนดูราวกับถูกแต่งแต้มให้โอเวอร์เข้าไว้…

แต่นี่แหละครับ "หนังจากเกม"

    แน่นอนว่าฉากสงครามไคลแมกซ์ตอนท้ายนั้นทำออกมาได้ดีเยี่ยมและเป็นส่วนที่ดีที่สุดของหนังอย่างไม่ต้องสงสัย เป็นภาพการสัประยุทธของ 2 กองทัพที่เรียกได้ว่าบันเทิงและสมบูรณ์พร้อม แต่ที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือ Easter Egg ที่ถูกอัดเข้ามาเยอะพอสมควร ดีกรีระดับฮากันลั่นโรงพร้อมปรบมือก็มีครับ

    อย่างที่บอกแต่แรกว่ามันคือหนังที่ติ่งวอคราฟต์เข้าเส้นน่าจะมีความสุขกับมันมากๆ เสมือนว่าคุณมีอภิสิทธิ์ที่จะรู้ว่าต่อจากในหนังนั้นมันมีอะไรสนุกๆ ชวนลุ้นเกิดขึ้น แถมด้วยการที่พล็อตหนังนั้นบิดจากตัวเกมไปไม่มาก ทำให้การที่ดูหนังจบแล้วมายืนเดาเหตุการณ์ในภาคต่อไป แบบที่มีข้อมูลในหัวอยู่แน่นพอสมควรนั้นมันจึงเป็นอะไรที่มีความสุขสุดๆ ไปเลยครับ

 

   โดยรวมแล้วพวกเราก็ถือว่าเป็นภาพยนตร์ที่จากเกมที่ถือว่าดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา ณ ตอนนี้อยู่ และก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คะแนนรีวิวจากต่างประเทศออกมาเท่าไหร่นัก เป็นภาพยนตร์อีกเรื่องหนึ่งที่ถ้าหากเป็นคนชอบความแฟนตาซี + สงครามขนาดใหญ่ แนะนำให้ไปดูกันครับผม

คำที่เกี่ยวข้อง

สมัครรับข่าว OS

คุณอาจสนใจเรื่องนี้