รีวิว Minna no Rhythm Tengoku เมื่อลมหายใจเข้าออกของคุณคือจังหวะดนตรี

แชร์เรื่องนี้:
รีวิว Minna no Rhythm Tengoku เมื่อลมหายใจเข้าออกของคุณคือจังหวะดนตรี

     สวัสดีคร้าบ วันนี้ PuruZ มารีวิวกันอีกเกมแล้วครับ ในครั้งนี้ที่ผมจะมารีวิวก็คือ Minna no Rhythm Tengoku ที่พึ่งได้แชมป์ยอดขายเกมประจำสัปดาห์ที่ญี่ปุ่นไปหมาดๆ นี่เอง บางคนอาจจะรู้จักกันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว หรือบางคนอาจจะยังไม่รู้จัก วันนี้เราจำมาทำการแนะนำและรีวิวเกมนี้ให้ได้ชมกัน

     Minna no Rhythm Tengoku ถือว่าเป็นภาคที่ 3 แล้ว ในซีรี่ย์ Rhythm Tengoku (Rhythm Heaven) ซึ่งตัวเกมนั้นจะเป็นแนว Music Game ครับ โดยตัวเกมจะมีมินิเกมอยู่หลายๆ เกมให้เล่นด้วยกัน ซึ่งแต่ละเกมนั้นผู้เล่นจะต้องอาศัยการฟังเสียงและจังหวะ เพื่อที่จะเล่นเกมนี้ครับ (แน่นอนว่าถ้าปิดเสียงทีวีล่ะก็ เล่นไม่ได้ทันที) ในภาคสองนั้น ทำยอดขายในญี่ปุ่นได้ถึง 1,568,000 ชุด ครับ และบรรดาสื่อต่างๆ ก็ให้คะแนนกันค่อนข้างดี เช่น Famitsu ให้ 34/40 คะแนน และ IGN ให้ 9.0 และ Editor's Choice award

     ซีรี่ย์ Rhythm Tengoku ถูกออกแบบโดย Tsunku ศิลปินและโปรดิวเซอร์ชื่อดังในญี่ปุ่น ถ้าใครเป็นแฟนๆ ค่าย Hello Project จะรู้จักกันเป็นอย่างดี เพราะว่าเขาอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของวงต่างๆ มากมาย เช่น Morning Musume และ BerryZ Koubou ครับ แน่นอนว่าด้วยประสบการณ์ในวงการเพลงที่อยู่มาอย่างยาวนาน ทำให้เขาสามารถสร้างเกมที่ถูกใจเหล่าเกมเมอร์ที่มีจังหวะในหัวใจได้อย่างดี

     Minna no Rhythm Tengoku นั้นก็จะมาเป็นแบบสไตล์เดิม ก็คือจะมีมินิเกมให้เล่นกันอย่างมากมาย  และยังมี Remix กันอยู่เช่นเคยครับ Interface เหมือนกับภาคเก่าเป๊ะเลย  Remix นั้นมีอยู่ด้วยกันถึง  Remix ด้วยกัน เรียกได้ว่าก็มากันเยอะจุใจเหมือนเดิมครับ

     รูปแบบการเล่นและการบังคับนั้น ตอนแรกผู้เขียนนึกว่าจะมีการใช้ Motion ของ Wiimote ในการเล่น แต่พอเอาเข้าจริงๆ ไม่ใช้ครับ มันใช้แค่ปุ่ม A กับ B เท่านั้น คาดว่าน่าจะกลัวเรื่องปัญหาการดีเลย์ ทำให้ผู้เล่นไม่สามารถบังคับได้ตรงจังหวะครับ ถึงอาจจะดูไม่ค่อยน่าตื่นตาเหมือนที่คิด แต่ก็ถือว่าเป็นความคิดที่ถูกต้องครับ ถ้าเล่นแล้วมันไม่ตรงจังหวะ มันก็คงน่าหงุดหงิดไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว

 

     ในด้าน Game Play ของ Minna no Rhythm Tengoku นั้น  ตัวเกมทำจังหวะให้หลวมขึ้นหน่อย (ผู้เล่นสามารถกดให้ตรงจังหวะได้ง่ายขึ้น) ก็เป็นเพราะเนื่องมาจากกลัวอาการดีเลย์จาก Controller ไร้สายอย่าง Wiimote และจอทีวีเช่นเดียวกันครับ ส่วนตัว Mini Game ต่างๆ ของภาคนี้ถือว่าค่อนข้างยากกว่าภาคก่อนๆ พอสมควรเลยครับ แต่ล่ะเกมก็มีจังหวะที่ซับซ้อนกว่าภาคก่อนๆ มาก เรียกว่าต้องใข้สมาธิเพิ่มขึ้นอย่างมาเลยทีเดียว ผู้เล่นใหม่บางคนอาจจะลำบากนิดๆ แต่ซักพักก็จะชินเองล่ะครับ ส่วนในเรื่องของความสร้างสรรค์ของ Mini Game นั้น ก็ยังทำออกมาได้ดีเหมือนเดิมครับ

     อย่างไรก็ตาม ตัวเกมก็ยังคง Concept เดิมที่ว่า ปิดตาเล่นแล้วใช้หูฟังอย่างเดียว ก็สามารถเล่นได้ครับ (แต่ในภาคนี้ต้องใช้สมาธิในการฟังเพิ่มกว่าเก่า ) ถึงมีผ้ามาปิดตา แต่ได้ยินเสียง ก็ยังสามารถเล่นได้ แต่ถ้าเปิดแต่จอแล้วปิดเสียงไว้นี่เล่นไม่ได้แน่นอนครับ

แชร์เรื่องนี้:

เรื่องที่คุณอาจสนใจ