Star Wars: The Rise of Skywalker รีวิว – ย่างก้าวสุดท้ายของการผจญภัย 4 ทศวรรษที่ธรรมดาเกินไปจนน่าเสียดาย

Star Wars: The Rise of Skywalker รีวิว – ย่างก้าวสุดท้ายของการผจญภัย 4 ทศวรรษที่ธรรมดาเกินไปจนน่าเสียดาย

 

 

Star Wars: The Rise of Skywalker เข้าฉายกันทั่วประเทศแล้วในวันนี้ ซึ่งทาง Online Station ของเราก็แห่ไปดูรอบสื่อฯ กันกว่าครึ่งแผนก! ไปหาบัตรมาจากไหนกันเยอะแยะ!? ซึ่งสำหรับเพื่อนๆ ที่รอความเห็นจากแก๊งค์นั้นก็ชมได้ใน OS ฟายเดย์เลยครับ ส่วนตัวผมซึ่งรับหน้าที่เขียนรีวิวตัวนี้เผอิญว่าจองตั๋วล่วงหน้าไปดูกับคุณภรรยาเรียบร้อยก่อนหน้าแล้วเลยให้คนอื่นไปแทน ซึ่งก่อนหน้าการมาถึงของภาค 9 นี้ ผมเองก็ลุ้นและตามข่าวอยู่ตลอดตั้งแต่ภาค 8 ฉายเสร็จว่า Disney จะเอายังไงดี เพราะคะแนนจากนักวิจารณ์คือดีมาก และพวกเขาเองก็ดูจะมั่นใจและชอบแนวทางที่ The Last Jedi ของ Rian Johnson มุ่งไป (จนกระทั่งมอบไตรภาคใหม่ให้คราฟต์เองเลย) ทว่า ภาค 8 กลับเป็นภาคที่สร้างวิกฤตเสียงแตกในหมู่แฟนๆ มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ และโดยมากก็ดูจะไปในทางที่ไม่ชอบกัน ดังนั้นแล้ว JJ Abams ผู้กำกับภาค 7 จึงถูกตามตัวกลับมารับหน้าที่กำกับต่อ ทั้งๆ ที่ในทีแรกตัวเขาขอกำกับแค่ภาคเดียวก็พอ ซึ่งมันคือสิ่งที่ผมกังวลตั้งแต่แรก เพราะผู้กำกับ 2 ท่านของไตรภาคใหม่นี้ดูจะไม่มีวิชั่นไปในทางเดียวกันสักเท่าไหร่ โอเคว่าจังหวะ 7 มา 8 มันยังไม่มีปัญหานัก เพราะอันหนึ่งคือปูพื้นอันหนึ่งคือต่อยอด แต่การจะปิดไตรภาคด้วยผู้กำกับที่ยืนกันคนละขั้วด้านความคิดกับภาคก่อนหน้ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย และทำให้ผมไม่แปลกใจกับผลลัพท์ครึ่งๆ กลางๆ ของมันสักเท่าไหร่ จนพาลให้คิดเลยเถิดไปไกลว่าเอา Rian กลับมาทำต่อให้รู้แล้วรู้รอดไปยังอาจจะดีกว่า

 

 

The Rise of Skywalker เล่าเรื่องต่อจากภาค 7 หลังทั้งเรย์และเรนต่างค้นพบหนทางของตัวเอง และพยายามเพื่อมุ่งไปในทางนั้น ขณะที่ปฐมภาคีเตรียมเผด็จศึกฝ่ายต่อต้านที่เหลือกันเพียงหยิบมือ ด้วยกองยาน Stardestroyers ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ซึ่งถูกขับเคลื่อนโดยเงามืดที่กำลังจะเผยตัวในไม่ช้า เพียงเรย์เท่านั้นคือความหวังสุดท้าย

The Rise of Skywalker

ก่อนอื่นเลย ผมเป็นคนดูประเภทปล่อยตัวไปตามหนัง คือถ้ามันไม่ใช่อะไรที่ขัดเหตุและผลของเรื่องจริงๆ ก็พอจะมองข้ามบ้าง และสนุกสนานไปกับสิ่งที่หนังต้องการนำเสนอได้ อีกทั้งตัวผมเองมีชุดความคิดระวังภัยข้างต้นเป็นทุนเดิมจนรู้สึกก่อนหน้าว่ามันต้องยากแน่ๆ ที่จะทำภาคนี้ให้ดีได้ ดังนั้นแล้วจึงอยากเข้าโรงไปให้เห็นกับตามากกว่าว่าที่สุดแล้วหนังจะเลือกจบในเวย์ไหน กล่าวโดยสรุปผมว่า Star Wars: The Rise of Skywalker ก็ดูเพลินใช้ได้ อย่างน้อยที่สุดเจเจยังคงไว้ลายฝีมือกำกับตัวเองที่ไม่ทำให้เนื้อเรื่องในบางส่วนน่าเบื่อเกินไปนัก ทั้งยังย่อยง่าย ฉากก็สวย ในแง่หนังเรื่องหนึ่งก็ถือว่ามีความบันเทิงอยู่พอสมควร และไม่ได้รู้สึกเสียดายเงินอะไร

The Rise of Skywalker

แต่เพราะมันไม่ใช่ “หนังเรื่องหนึ่ง” นี่แหล่ะจึงเป็นปัญหา เพราะมันคือภาคจบของการผจญภัยกว่า 4 ทศวรรษ ของตัวละคร 3 เจนเนอเรชั่น ของภาพยนตร์และแอนิเมชั่นร่วม 10 กว่าเรื่องที่จะต้องถูกขมวดทุกปมภายใน 2 ชั่วโมงกว่าๆ นี้ และปัญหาก็คือภาคก่อนหน้าของ The Last Jedi ดันเลือกที่จะเปิดปมใหม่เสียมากกว่าการช่วยไล่เคลียร์ปมเก่า ทั้งทิศทางที่ดำเนินไปยังเป็นคนละทางกับสิ่งที่ JJ อยากให้เป็นอีกต่างหาก ทำให้ภาคนี้ต้องเฉลี่ยความสำคัญระหว่างการไล่ปิดแผลในภาค 8 ไปพร้อมๆ กับการพยายามจบให้ได้ในทางที่ง่ายที่สุด เพื่อจะได้ไม่ต้องเล่นท่าพิศดารนัก เพราะลำพังการบิดสิ่งที่หลงเหลือไว้ให้สานต่อเพื่อกลับมาเป็นแบบที่ตนต้องการก็ยากพออยู่แล้ว

The Rise of Skywalker

โดยสิ่งที่ JJ เลือกที่จะทำก็คือการเอาพิมพ์เขียวในแบบภาคเดิมๆ มาใช้ พร้อมๆ กับบิดการตีความที่แตกต่างไปในภาค 8 ให้กลับมาเป็นทรงดั้งเดิมอีกครั้ง (เห็นได้ชัดเลยคือเรื่องแนวคิดของวิถีเจได) แล้วจัดการอัดแฟนเซอร์วิสแทบทุกอย่างที่นึกออกเข้ามาในเรื่อง จนใครที่เป็นแฟนแบบดีปๆ หน่อยน่าจะหายใจหอบกันไปข้าง แต่ในความเยอะมันก็มีความรู้สึกแบบ บางอย่างที่ใส่เข้ามาเพราะอยากใส่เฉยๆ ใช่ไหม ดูไม่มีปี่มีขลุ่ยเลย จนแอบคิดว่ามันยัดเยียดเกินพอดีไปหน่อย

The Rise of Skywalker

ในขณะที่การดำเนินเรื่องคือสอบตกมาก เป็นเส้นตรงทื่อๆ และรู้สึกว่าเร็วเกินไปหน่อย บางช่วงที่กระชับได้ก็เยี่ยมนะ แต่หลายๆ ฉากมันค่องข้างนีดการขยี้อารมณ์เพื่อให้คนดูสามารถทัชกับหนังได้มากกว่านี้ บางฉากก็รู้สึกว่ามาถูกทางแล้ว แต่พอเราคิดต่อว่ามันมีทางที่ทำดีกว่านี้ได้นะ ก็พาลรู้สึกดรอปแกมเสียดายไปดื้อๆ เช่นหลายๆ ฉากช่วงท้ายที่เกือบดีแล้วก็ดันมาตกม้าตายเสียอย่างนั้น ขณะที่บทบาทของตัวละครก็ไม่โอเคมากๆ ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมชะตาบางคนถึงมาแบบนั้น มันดู Useless เกินไป และพลอยทำให้ภาพรวมในแง่การเดินเรื่องรวมถึงบทบาทตัวละครมันออกมาเละเทะขนาดนี้ 

The Rise of Skywalker

อีกอย่างที่ทำให้รู้สึกว่ามันไม่น่าจดจำสักเท่าไหร่ก็คือความเข้ากันของตัวละครหลักที่ 3 ที่หากนำไปเทียบกับ 3 คน ของไตรภาคดั้งเดิม ต้องบอกว่าคนละเบอร์กันเลย แต่ไม่ถึงขนาดต้องนำไปเทียบ เราก็ไม่ได้รู้สึกว่า 3 คนนี้สนิทกันมากๆ อยู่ดี ผมดันผ่ารู้สึกว่าเรนยังสนิทกับเรย์มากกว่าฟินกับโพอีกต่างหาก แต่พูดถึงตัวละครแล้ว Daisy Ridley ไม่ได้โชว์ฝีมือเลยว่าพัฒนาการแสดงไปถึงไหน ส่วนหนึ่งก็เพราะบทไม่ได้อำนวยสักเท่าไหร่ แสดงอารมณ์หน้าเดียวตลอดไตรภาค ผิดกับ Adam Driver ที่งานแสดงหลายเรื่องทำให้เขากลายเป็นนักแสดงขายฝีมือเต็มตัวไปแล้ว และการถ่ายทอดบทบาททางอารมณ์ของ Kylo Ren ก็ยอดเยี่ยมไม่มีปัญหาใดๆ เลย แต่ก็นั่นแหละ เมื่อภาพรวมของบททั้งเรื่องมันแย่ อะไรๆ ก็ดูไม่เข้าที่เข้าทางไปเสียหมด

The Rise of Skywalker

ขอยํ้าอีกทีว่าถึงจะบ่นไปเยอะแยะ แต่เอาเข้าจริงเมื่อรวมทุกองค์ประกอบแล้วผมก็ยังรู้สึกว่ามันก็ดูได้เพลินๆ นั่นแหละ อาจจะเพราะเราชอบในเอเลเมนต์ความเป็น Star Wars เป็นทุนเดิม ทำให้ความรู้สึกมันไม่ได้เริ่มจาก 0 แต่เป็น +2 +3 ไว้ก่อนอยู่แล้ว หากดูแบบมีเลเยอร์ไม่ซับซ้อนก็ถือว่าโอเคเลย เฉลยได้เกือบทุกปม อีสเตอร์เอ้กเพียบ จบแบบไม่มีอะไรค้างคา แต่ก็ไม่มีอะไรให้น่าจดจำเมื่อดูแบบลงลึกไปถึงขั้นชื่นชอบก็จะรู้สึกเสียดายแบบผมนี่แหละที่มันดู “ไม่มีอะไร” เกินไปสักหน่อย ธรรมดาจนน่าใจหาย แต่หากคุณเป็นเลเวลคลั่งไคล้ล่ะก็ แม้คุณอาจจะปลื้มปริ่มกับอีสเตอร์เอ้ก หรือมีความรู้สึกว่ายังไงก็ต้่องไปดูสักแค่ไหน แต่เมื่อความ “พิเศษ” ที่เคยมีอยู่ในแทบทุกภาคจางหายไป ท้ายที่สุดมันก็ไม่อาจทำให้คุณพึงใจได้่อยู่ดี

The Rise of Skywalker

 

6.5/10

 

Star Wars: The Rise of Skywalker รีวิว – ย่างก้าวสุดท้ายของการผจญภัย 4 ทศวรรษที่ธรรมดาเกินไปจนน่าเสียดาย

คำที่เกี่ยวข้อง

สมัครรับข่าว OS

คุณอาจสนใจเรื่องนี้