รีวิว SisterS กระสือสยาม – การเริ่มต้นได้ดีไม่ได้หมายความว่าจะมีตอนจบที่สวยงาม

กระสือเรื่องที่ 2 ของปี ซึ่งในเมื่อมันเป็นแบบนี้ก็ยากเหลือเกินที่การเขียนรีวิวจะไม่หยิบเรี่องก่อนหน้าอย่างแสงกระสือมาเปรียบในบางจุด เพราะไหนๆ ก็มีจุดร่วมคือผีตนเดียวกัน ดังนั้นแล้วกับคำถามดาษดื่นที่มักจะมีคนถามเป็นอันดับต้นๆ ว่า “แล้วกระสือเรื่องไหนดีกว่ากัน?” ผมคงไม่อาจฟันธงได้เต็มปากนักในแง่ความสนุกที่แทบทุกครั้งขึ้นอยู่กับ Taste ส่วนบุคคล หากทว่าในด้านความสมบูรณ์ของภาพยนตร์นั้น “กระสือสยาม” ไม่อาจต่อกรกับกระสือเรื่องก่อนหน้าได้ในแทบจะทุกๆ ด้านเลยทีเดียว

SisterS เปิดเรื่องด้วยฉากย้อนความที่กระชับ ดุดัน และทรงพลัง จนเรารู้สึกเลยว่าเส้นเรื่องช่วงนี้หากเอาไปแตกเป็นภาค Origin หรือภาค Prequel ก็ยังได้แถมน่าสนใจด้วย โดยมีเสียงของวีณา (โจ้) รับหน้าที่เล่าเนื้อเรื่องประกอบ จากนั้นก็เริ่มเปิดตัวตัวละครหลัก พร้อมวางเซ็ตติ้งกฎเกณฑ์และเงื่อนไข รวมถึงลูกเล่นต่างๆ ไว้รายรอบ เรียกว่าช่วง 20 นาทีแรกนี่แหละคือส่วนที่ดีที่สุดของหนังโดยแท้จริง

ดีขนาดไหน? ดีขนาดที่เราแอบคิดไปว่ากระสือสยามอาจเป็นหนังที่แจ่มกว่าที่คิด เพราะวิธีเล่าเรื่องช่วงต้นสากลมาก แถมยังวางเซ็ตติ้งโลกของผีและวิญญาณนับรวมปีศาจได้อย่างน่าสนใจ เร่งเร้าให้ผู้ชมอยากรู้ต่อว่าจะเป็นอย่างไร เพราะเอาเข้าจริงหนังแบบนี้มันพอจะเดาทางได้ ความสนุกจึงไปอยู่ที่การลุ้นระหว่างทางมากกว่าว่าจะยัดลูกเล่นอะไรมาให้ว้าวบ้าง และหากต้นเรื่องยังวางเบาะแสไว้เยอะแยะขนาดนี้ ช่วงไคลแมกซ์มันต้องเจ๋งแน่ๆ ถ้าหยิบเอาไอ้ที่โปรยไว้มาเล่นให้ได้อย่างถูกจังหวะ 

อนิจจา เหมือนท้ายๆ ตัวหนังรู้สึกว่า “ฉันวางนู่นนั่นนี่เยอะไปแล้ว” เพราะงั้นก็เลยกระทำการ “ช่างมัน” โยนความน่าสนใจทุกอย่างทิ้งแล้วน้อมนำคำสอนของตาเอก HRK ขอพุ่งทางตรงไถเรื่องให้จบแบบง่ายๆ งงๆ ตรงๆ ทื่อๆ ชนิดที่ไม่แคร์สื่อ แคร์เงื่อนไข หรือต้องการความเข้าใจใดๆ ทั้งสิ้น นัยว่า “ก็จะจบอ่ะ แล้วมันผิดตรงไหน!” 

ซึ่งมันน่าเสียดายเพราะเราเห็นศักยภาพลางๆ ว่ามันสามารถไปได้ไกลกว่านี้มาก แต่หนังกลับเลือกที่จะหยุดเสียก่อน แถมดันหยุดในจุดที่เราเห็นปัญหาซึ่งส่วนใหญ่จะมากับบทที่แปลกๆ กับโปรดักชั่นซึ่งว่ากันตรงๆ ก็ไม่ค่อยดีนัก โดยเฉพาะกับ CG ที่ตอนท้ายๆ ช่วงไคลแมกซ์หลุดได้น่าเกลียดมาก มีเฟรมร่วงหรือภาพแบน ภาพยืด ในบางฉากอีก ไม่นับองค์สุดท้ายกับบทสรุปที่ชวนปวดหัวอีก

แต่น่าผิดหวังที่สุดคือการที่เรื่องนี้โฆษณาหน้าหนังว่าจะเป็นหนังบู๊แอคชั่น แต่ซีนเหล่านั้นกลับสุกเอาเผากินจนเกินไป บางฉากไม่มีความดุดันไม่ได้ลุ้น บางฉากที่บิวต์มาดิบดีเกือบทั้งเรื่องก็กลับตัดฉับไม่ให้ดูเสียอย่างนั้น ซึ่งทำเอาผมหัวเสียอย่างมาก หากบทแย่แต่ถ้าซีนต่อสู่น่าสนใจอย่างที่ได้โปรโมตไว้มันก็ยังพอมีคุณค่าเพิ่มขึ้นบ้าง แต่พอเป็นอีหรอบนี้เรียนตามตรงว่าเชียร์ไม่ขึ้นจริงๆ

กระนั้นถ้าจะหาสิ่งดีๆ ของหนังก็คงเป็นฝีมือการแสดงของน้องมิวนิคที่ไม่ได้แย่เลย ดีกว่าที่คาดไปเยอะ แต่ก็นั่นแหละครับนักแสดงเล่นได้โอเคตามบทบาท แต่ถ้า “บทบาท” ไม่ได้ส่งให้การแสดงดังกล่าวดูทรงคุณค่าขึ้นมามันก็ดูจะแค่นั้น และบทสรุปของศึกกระสือ 2019 ก็ดูจะเป็นอย่างที่หลายๆ คนคาด เมื่อ “แสงกระสือ” เปล่งประกายเจิดจ้า กระสือสยามที่มาแบบขมุกขมัวไม่ชัดเจนในการนำเสนอสักด้าน ก็ยากจะต้านทานหรือต่อกรด้วยได้จริงๆ

สรุป 4/10
 

คำที่เกี่ยวข้อง

สมัครรับข่าว OS

คุณอาจสนใจเรื่องนี้