รีวิว แสงกระสือ – ความทะเยอทะยานสู่มิติใหม่ของหนังผีไทย

จริงๆ แล้วหลังชมภาพยนตร์จบเมื่อวาน ความรู้สึกแรกที่ออกมาจากโรงก่อนพิมพ์ลงไปเป็นมินิรีวิวใน SNS ส่วนตัวนั้นค่อนข้างจะเป็นอะไรที่ไม่สบอารมณ์อยู่นิดๆ เพราะผมคิดว่า หนังมีศักยภาพมากๆ และมีดีหลายอย่างแต่บางจุดกลับทำให้คุณค่าของมันดรอปลงไปพอสมควร

เพียงแต่เมื่อได้ใช้เวลาไตร่ตรองในสิ่งที่ดูมามากขึ้นจนตกผลึกระดับหนึ่ง ก็พบว่าข้อหงุดหงิดกวนใจหลายๆ ส่วนนั้นมันเป็นเพราะผมคาดหวังให้หนังมาในเวย์แบบที่ตัวเองต้องการมากไป คือก็ใช่อยู่แหละว่าจนตอนที่เขียนรีวิวอยู่นี้ผมยังอยากให้หนังดำเนินไปในเวย์ที่ผมคาดหวัง แต่ถึงอย่างนั้นหนังก็มีเหตุผลมากพอที่จะไปในแนวทางที่มันเป็น และหากพูดกันตรงๆ คือไม่ได้น่าเกลียดอะไรเลย

แต่แม้บางสิ่งอาจต้องใช้เวลาถึงพอไตร่ตรองได้ ทว่าสิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนไปนักตั้งแต่ออกมาจากโรงคือผมคิดว่านี่เป็นหนังไทยที่มี “ความกล้า” มากพอจะก้าวไปสู่อีกระดับที่พูดได้ว่ามีความอินเตอร์และทันสมัยมากขึ้น พิสูจน์กันให้เห็นไปว่าแม้จะเป็นหนังผีถึงไม่ต้องเน้นความหลอนสุดขั้วก็ยังเป็นหนังที่ยอดเยี่ยมได้หากรู้ตัวดีว่าต้องการนำเสนออะไร

จริงๆ คงต้องบอกว่าแสงกระสือนั้นจัดเป็นหนังประภทรักข้ามสายพันธุ์หรือ Romantic ก็เสียด้วยซ้ำนะครับ แนวๆ Shape of Water อะไรเทือกนี้ เพราะก็อย่างที่เกริ่นๆ ไว้ว่านี่คือหนังที่ไม่ได้เน้นจังหวะตุ้งแช่อะไรนัก อาจจะน่ากลัวที่รูปลักษณ์ของตัวกระสือเอง ซึ่งก็เพราะ “ความกลัว” นี่แหละมันก่อร่างเป็นหลายๆ เรื่องราวที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์เรื่องนี้

สิ่งที่ชอบมากๆ ระดับเตะตาต้องใจเป็นอย่างแรกๆ เลยคืองานภาพและการจัดแสงรวมถึงองค์ประกอบฉากต่างๆ ที่ทำออกมาได้ดีมากๆ  การสว่างและมุมตกกระทบของแสงในแต่ละซีน ได้รับการออกแบบให้ช่วยขับอารมณ์ของตัวละครที่เข้าฉากในซีนนั้นๆ ได้อย่างดีระดับที่แม้ไม่พูดก็พอรู้สึกได้ ในขณะที่งาน CG ซึ่งถูกประโคมโปรโมตก็ออกมางานละเมียดมากในหลายๆ ฉาก โดยเฉพาะในส่วนของรายละเอียดตัวกระสือเองไม่ว่าจะเป็นตอนฟูลฟอร์มหรือตอนจะถอดหัวก็คิดว่าทำได้ดีในระดับน่าพอใจ  เพียงแต่ในบางจุดก็ยังดูลอยๆ เหมือนถูกเร่งงานเช่นฉากไคลแมกซ์ในช่วงท้าย หรือฉากการบินฉวัดเฉวียนไปมาที่รู้สึกว่ามันดูจงใจจะหลบมุมกล้องไปหน่อยถึงแม้จะมีข้อแก้ตัวว่านางบินได้เร็วก็เถอะ

แต่ประทับใจที่สุดคือการตีความกระสือ ผมชอบในเวย์ที่หนังไม่ได้บอกโต้งๆ ว่ากระสือเป็น “ผี” แต่พยายามเล่าให้เห็นว่ากระสือคือ “มนุษย์ที่ถูกมนต์ดำจนกลายเป็นสิ่งมีชีวิตอีกประเภทที่มีวิถีชีวิตตามครรลองของมัน” ชอบที่มีตัวละคร “พระ” ซึ่งไม่ได้มาในฐานะผู้วิเศษหรือที่พึ่งของทุกสิ่งในยูนิเวิร์ส ชอบความกล้าที่พยายามจะชี้นำให้คนดูเกลียดชาวบ้านเพราะความงมงาย ทั้งๆ ที่สิ่งที่พวกเขาทำก็คือการป้องกันตัวจากความไม่รู้ และในแง่มุมหนึ่งแม้ผมจะขัดใจตอนจบแต่พอคิดดีๆ ก็มีความชอบที่มันจบแบบนี้เหมือนกัน ก็อย่างที่บอกครับว่าไม่ได้จบแย่เลย

เอาเข้าจริงสิ่งเหล่านี้มันอาจไม่ได้ใหม่ในระดับโลก แต่อยากจะชื่นชมทางค่าย Transformation Films ที่กล้าก้าวเท้าออกมาจากขนบหนังผีเดิมๆ เป็นหนังผีที่แทบไม่มีตุ้งแช่ แต่การตีความเล่าเรื่องมีความอินเตอร์และทันสมัย ฉีกความเชื่อคร่ำครึทิ้งและสร้างตำนานในแบบตัวเองขึ้นมา ซึ่งโดยส่วนตัวผมคิดว่านี่เป็นสิ่งสำคัญของการสร้างสรรค์ภาพยนตร์ขึ้นมาสักเรื่อง มันคืออิสระทางความคิดอ่านนั่นเอง 

ถ้าจะมีให้ติสักหน่อยคงเป็นแอคติ้งบางจุดของนักแสดงนำที่รู้สึกว่าขาดๆ ล้นๆ ไปบ้าง รวมถึงพาร์ทโรแมนติกซึ่งกลายเป็นว่าเราไม่ได้อินกับคู่พระนางขนาดนั้น อาจเพราะเรื่องใช้เวลาปูความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่น้อยไปสักนิด แต่ในภาพรวมก็อยากบอกดังๆ ว่า “แสงกระสือ” คือหนังไทยที่ควรค่าในการเข้าไปลองชมในโรงดูสักครั้ง แม้หน้าหนังจะออกซื่อๆ บ้านๆ แต่มันแฝงความสากลไว้ในตัวอยู่สูงมากครับ ระดับที่สามารถเรียกได้ว่าอีกมิติของหนังไทยได้เลยแหล่ะ

คะแนน 8/10
 

คำที่เกี่ยวข้อง

สมัครรับข่าว OS

คุณอาจสนใจเรื่องนี้